ผมชอบ Note นี้เพราะ มันเหมือนมีพลังบางอย่างที่เมื่อได้อ่านแล้ว มันรู้สึกอยากที่จะลองเขียนบทความดูครับ มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้ลองออกจากกรอบความสามารถของตัวเอง เพราะปกติลำพังแค่พูด ผมก็พูดไม่ค่อยจะรู้เรื่องอยู่แล้ว นี่จะมาเขียนบทความ ตายห่ากันพอดี! ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ผมก็พยายามฝึกเขียนอยู่ตลอดครับ ไอ่ที่เขียนส่วนใหญ่ก็จะ เขียนๆ ลบๆ ไม่ก็ฆ่าทิ้ง สมุดที่เขียนก็เป็นเหมือนเรียงความที่เขียนไม่จบสักที อารมณ์มันจะประมาณ พอเขียนไปได้สักพักแล้วกลับมาอ่าน มันอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง เขียนไปเขียนมาเหมือนมันแยกเป็นคนละส่วนกัน ที่นี่ไอ่เราก็กลัวเสียกระดาษไปฟรีๆ ผมก็เลยแก้ไขปัญหาโดยการไปให้ AI ช่วย ป้อนโครงเรื่องให้กับมันแล้วค่อยพยายามมาแก้คำบางคำ หรือบางประโยค ให้มันพออ่านแล้วคนเข้าใจ มันก็เลยไม่แปลกที่ผลงานของผมดูเหมือน AI เขียนครับ 55555 #Siamstr ส่วนอยากให้พี่เขียนอะไรนั้น ผมอยากให้พี่เขียนเกี่ยวกับเรื่องราวความผิดพลาดที่พี่คิดว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตที่ผ่านมา แล้วพี่ได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์หรือสถาณการณ์นั้นบ้าง ผมรออ่านอยู่นะครับ ขอบคุณครับ
พี่จงใจไม่คอมเม้น เพราะการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ประเมินและพัฒนาตัวเองนั้นยั่งยืนที่สุด พี่จะแนะนำเมื่อรู้สึกว่าใครสักคนไปต่อไม่ได้เพราะขาดประสบการณ์บางอย่างเท่านั้น จริงๆ การเขียนคือการตกผลึกความคิดผ่านตัวอักษร สมมุติว่าตัด a.i. ออกไป (ซึ่งพี่ลองมาหมดแล้ว มันยังขาดอรรถรส ขาดมิติบางอย่าง) เราจะเขียนได้ดีก็ต่อเมื่อผลคกความคิดของเราตกคะกอนมาดี เรายะมีผลึกความคิดแบบนั้นก็ต่อเมื่อเราผ่านเรื่องราว ผ่านประสบการณ์และทบทวนสิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการจะเขียนได้ดีไม่ได้ต้องการแค่ทักษะในการเขียน มันอาศัยความรู้สึกนึกคิด องค์ความรู้และการสั่งสมประสบการณ์ด้วย การเริ่มต้นได้ไม่ดีจคง้ป็นเรื่องจำเป็น มันเป็นหนทางไปสู่จุดนั้น ส่วนเรื่องความผิดพลาด พี่รู้สึกว่ามันไม่ควรถูกระบุว่ามันคือ "ความผิดพลาด" เพราะชีวิตของใครสักคนที่จะหยั่งรู้ ที่จะประสบความสำเร็จ ที่จะค้นพบสิ่งที่ถูก เขาย่อมต้องมีชีวิตอยู่เพื่อเรียนรู้สิ่งผิดก่อนทั้งสิ้น เราไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรถูก ถ้าไม่รู้ว่าอะไรผิด เราไม่สามารถบอกได้ว่านั่นคือสีดำ ถ้าไม่เคยเจอสีอื่นมาก่อน Anyway.. ชีวิตพี่มีความผิดพลาดที่ทรงคุณค่าเยอะ ไว้พี่จะหาเวลาละเมียดมันออกมาครับ #siamstr
# Trouble is a Friend ถึงแอดมินวาวผู้กล้า, น้อยคนนักจะกล้าท้าทายพี่ด้วยคำขอ แต่เมื่อใจเอ่ยถึง พี่ก็พร้อมจะสนอง... ทว่า.. สิ่งที่พี่ให้อาจไม่ใช่สิ่งที่นายคาดหวัง เพราะพี่เองก็มีวิถีที่ต้องยึดมั่น เมื่อใดที่พี่ถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน พี่จะรู้สึกเหมือนหลุดจากแก่นแท้ของตัวเอง (พี่ก็ซีเรียสไปบางที 55) I just want to be me. ในโลกของพี่ "ความผิดพลาด" ไม่เคยมีอยู่จริง มันเป็นเพียงบททดสอบที่หล่อหลอมให้เราแข็งแกร่งขึ้น เติบโตขึ้นในทุกย่างก้าว ทุกสิ่งที่เราเผชิญ ทั้งความสำเร็จและความผิดพลาด ล้วนเป็นดั่งบันไดที่นำเราไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น มันคือกระบวนการ "กลั่นกรอง" (Rule out) สิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อให้เหลือเพียงแก่นแท้แห่งปัญญา ดังเช่นคำกล่าวของ Jakk Goodday ที่พึ่งคิดได้เมื่อกี้ว่า.. "ความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงที่สุด คือการปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะผิดพลาด" "The greatest mistake is to rule out the possibility of making one." และอีกหนึ่งความจริงที่พี่ค้นพบ.. "จงอย่ากลัวที่จะผิดพลาด เพราะความกลัวคืออุปสรรคเดียวที่ขวางกั้นการเรียนรู้" (Rule out nothing but fear.) ยิ่งพี่รู้มากเท่าไหร่ ยิ่งตระหนักว่าพี่ได้ผ่านบททดสอบแห่งความล้มเหลว (**Proof of Failure**) มามากเพียงใด และเมื่อมันมากมายจนเกินจะจดจำ สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือ **"แก่นแท้ของบทเรียน"** เหมือนดังข้อสอบ.. เมื่อเราเห็นคำตอบที่ถูกต้อง เราก็จะเข้าใจว่าทำไมตัวเลือกอื่นจึงผิดพลาด ในทางกลับกัน ตัวเลือกที่ผิดก็คือคำอธิบายว่าทำไมตัวเลือกนั้นจึงถูกต้อง นี่คือสิ่งที่พี่ต้องการจะสื่อ เข้าใจใช่ไหม? (พี่เชื่อว่านายเข้าใจ สมมุติว่าเข้าใจละกันนะ) บางคนอาจมองว่าความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต คือความล้มเหลวที่ไม่อาจลืมเลือน บาดแผลที่ไม่มีวันจางหาย แต่สำหรับพี่ ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกลับเป็น **"การไม่ยอมให้ตัวเองผิดพลาด"** ต่างหากล่ะ > **เพราะเมื่อใดที่เราปิดกั้นตัวเองจากความผิดพลาด นั่นหมายถึงเราปิดกั้นโอกาสที่จะเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมๆ กัน** มันก็เหมือนต้นไม้ที่ไม่เคยเผชิญกับพายุ มันอาจเติบโตอย่างสง่างาม แต่เมื่อเผชิญกับลมแรงเพียงเล็กน้อย ก็อาจโค่นล้มลงได้ง่ายๆ ในทางกลับกัน.. ต้นไม้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านพายุและฝนมาอย่างโชกโชน จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มีรากที่หยั่งลึก สามารถต้านทานทุกแรงปะทะได้อย่างมั่นคง ชีวิตก็เช่นกัน.. ความผิดพลาดเปรียบเสมือนพายุที่เข้ามาทดสอบความแข็งแกร่งของเรา หากเราเปิดใจยอมรับและเรียนรู้จากมัน เราจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มีภูมิคุ้มกันต่อความล้มเหลว และพร้อมเผชิญหน้ากับทุกอุปสรรคที่ขวางหน้า (Learn from your errors and evolve.) ดังนั้น.. จงอย่ากลัวที่จะผิดพลาด จงโอบกอดมันไว้ แล้วเปลี่ยนมันให้เป็นพลังขับเคลื่อนชีวิตของเรา นายอาจจะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ที่พี่ไม่ยอมเขียนถึงเรื่องราวของตัวเอง แต่พี่ก็อยากให้นายเข้าใจว่า บางครั้งการไม่บอกเล่าเรื่องราวโดยตรง อาจเปิดพื้นที่ให้เกิด **การตีความและเรียนรู้** ได้มากกว่า ภาพวาดที่ไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด อาจจะปลุกเร้าความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการของผู้ชมได้อย่างหลากหลาย พี่เชื่อว่าทุกคนล้วนมี **"ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด"** เป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวในหน้าที่การงาน ความสัมพันธ์ที่ไม่สมหวัง หรือการตัดสินใจที่ผิดพลาดในอดีต แต่พื้นที่เพียง 1 ลองฟอร์ม มันไม่ยาวพอจะเขียนเรื่องราวของพี่ออกมาครับ ยังไงก็จำไว้ว่า **"การไม่ยอมให้ตัวเองผิดพลาด"** มักจะกลายเป็นหายนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่นายจะพบเจอได้ หากนายยอมให้มันเกิดขึ้นกับตัวเอง (ลองไปถามวินหวีดูว่าใช่ไหม) ..เอาไปคิดต่อกันเอง เอ้า!! เพลงมา 🎶 https://youtu.be/QHpvlr_kG6U?si=IgAQiFBNnf7MUQFz #siamstr nostr:nevent1qqszjs0xywmly7exrekuqe5g33ecs25df90smlac4r9xcnw7djuyakqpramhxue69uhkummnw3ez6vpn9ejx7unpveskxar0wfujummjvuhsygp97fae8jpw3u87fqwdgs6w8v0fjp0jtdzd8nshkcx4eaed238j5cpsgqqqqqqsyna9hx
Hey, the link you shared contains tracking tokens. Here is a link without tracking tokens: https://youtu.be/QHpvlr_kG6U Zap this bot to keep it alive and report bugs on Github
เรื่องราวในชีวิตส่วนใหญ่ของผม ถ้าให้คิดย้อนกลับไปหลายๆสิ่ง หลายๆอย่าง มันเป็นการตัดสินใจที่พลาด การตัดสินใจช่วงรอยต่อระหว่างชีวิตคือไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่ผมไม่รู้ตัวตนตัวเองจริงๆ ว่าชอบอะไร ไม่ได้ไปลองหาอะไรที่แปลกๆใหม่ๆทำเพราะความกลัว ทำให้ไม่ได้ลองค้นหาตัวเองว่าที่จริงแล้ว เราอยากทำอะไร จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเคว้งอยู่ แต่พยายามจะเปิดรับโอกาสใหม่ๆที่เข้ามาเสมอ ผมเลยอยากให้บทเรียนของการที่ ผมหาตัวตนไม่เจอนี้ มาเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงว่า ถ้าตัวคุณรู้สึกอยากทำอะไร คุณก็ลงมือทำมันไปเลย ไม่ต้องกลัว มันดีกว่าคุณกลับมาคิดแล้วเสียดายโอกาสที่ไม่ได้ทำมัน ถ้าคุณลองแล้วมันใช่ คุณก็จะได้รู้แล้วว่าคุณชอบอะไร แต่ถ้ามันไม่ใช่อย่างน้อย คุณก็รู้ว่าสิ่งนี้ไม่เหมาะกับเรา เราก็ไม่ควรไปเสียเวลาที่ต้องทนทำอะไรแบบนั้นต่อ มันก็จะช่วยประหยัดเวลาในชีวิตไปเยอะ ถ้าถามว่าระบบปัจจุบันมีส่วนที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ไหม มันก็มีแหละ แต่จะให้ไปโทษมัน สำหรับผมเอง ผมคิดว่ามันไม่ค่อยถูกต้องสักเท่าไหร่ ถ้าจะให้โทษใครสักคน ผมก็จะโทษตัวผมเองเนี้ยแหละ เพราะผมถือว่าระบบ มันไม่ได้มีอิทธิพลพอที่จะตัดสินใจแทนผมได้ ถ้าใจของผมนั้น มันไม่อ่อนแอไปซะเอง ( ผมคงตอบพี่ได้เต็มปากว่า ผมไม่เข้าใจบทความของพี่เลย 55555 หยอกๆ อันนี้ผมเขียนไว้สักพักล่ะ บังเอิญมาเจออะไรที่คล้ายๆสิ่งที่พี่อย่างสื่อ เลยเอามาใช้เป็นคำตอบ แทน คำว่า ผมเข้าใจความหมายที่พี่จะสื่อครับ สุดท้ายนี้ต้องขอ ขอบพระคุณที่รับคำท้าครับ แม้บทความอาจจะไม่ได้ตรงใจ แต่ก็มีคุณค่าและมีความหมายไปอีกแบบครับ ขอบคุณครับ )
เพราะสุดท้าย บทเรียนของพี่ มันเกิดจากบริบทของพี่มันมีความแตกต่างในรายละเอียดอยู่แล้ว และมันเยอะมีคถณค่าทุกเรื่อง จนไม่รู้จะหยิบจับอะไรมาเล่าดี มันให้คนอื่นเรียนรู้ได้จริง แต่มันจะดีกว่าถ้าเรารู้ How to learn นัยยะของโน๊ตนี้ พี่ไม่อยากให้พ้อยไปที่ example แต่เป็น Mind set เพราะชุดความคิดเดียวหากเจ้าของความคิดรู้จักพลิกแพลงไปปรับใช้ มันจะไม่สำคัญแล้วว่าใช้กับเรื่องอะไร ขอแค่เราใช้ให้เป็น นายจะเข้าใจมากขึ้นเมื่อได้ดูคลิปสั้นๆ นี้.. https://www.facebook.com/share/r/HH8EM8zhrjbZz7tz/?mibextid=0VwfS7
ทีนี้นายจะรู้แล้วว่า ทำยังไงให้รู้ว่าตัวเองขอบหรือเก่งอะไร เพราะพี่ก้อทำแบบนั้นมาทั้งชีวิต
ขอบคุณมากครับพี่ หลังจากที่ผมพยายามหยุดทุกอย่างเพื่อมาคิดตลอดระยะเวลาเกือบๆ 2 ปี ว่าชีวิตผมนั้นต้องการอะไรกันแน่ ผมก็พอจะเห็นทางที่จะไปละครับ เป้าหมายผมมีไว้ชัดเจนพอ แต่ต้องหารอยต่อให้เชื่อมไปถึงตรงนั้นครับ
เสริมให้อีกนิด เป้าหมายจริงมันจะชัดเจนเมื่อมันถูกปรับแต่งไปเรื่อยๆ จากการตระหนักรู้ การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นระหว่างทางที่เดินไปสู่เป้าหมายแรก ข้อผิดพลาดของหลายๆ คนคือความสามารถในการยืดหยุ่นและปรับตัวเป็น 0 ไม่จำเป็นต้อง Fix idea เราจะรู้ว่าอะไรดีที่สุดก็ต่อเมื่อมันผ่านการกล่อมเกลามามากพอแล้วนู่นแหละ
ถ้าเป็นเป้าหมายปกติพี่พูดถูกครับ เพราะก่อนหน้านี้ระหว่างทางแต่ละช่วงอายุ ผมก็เปลี่ยนมันเสมอครับ แต่เป้าหมายสุดท้ายของผมอาจจะมีน้อยคนที่อยากจะทำมัน คือ การสละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่มีครับ 55555 อาจจะฟังดูบ้าบอหน่อยนะครับ
ไม่บ้าหรอก พี่ก็เริ่มทำแบบนั้นไปแล้ว
How I teach my daughter. When she wanted to trade her midterm grades for a toy, I saw an opportunity to teach her about the true value of POW and continuous improvement. Instead of focusing on achieving perfection, I emphasized the importance of learning from past mistakes, growth, and earning rewards through dedication and effort. It's a lesson about building character and understanding that true value comes from within, not from material possessions. https://image.nostr.build/b8c0129023004ddfd900854763d6c65dc12014106abffc36e8e67daf7cc5dfa5.jpg Learn from your errors and evolve. #value4value #siamstr nostr:nevent1qqs8rt6ul7tnrax5kwct58fftwwrn5tjv8sdfpu8k3wd5n64x97g6agprpmhxue69uhhyetvv9ujumn0w3hhx6rf9emkjm30qgsdsv8w0d7rpgmykyjykau6lw60z4nn8laceper2zrwy6ctfesu6csrqsqqqqqplfjw8a