“จงเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น” พ่อผมสอนประโยคนี้อยู่ตลอดเวลาเรียกว่าเป็นคำพูดติดปากของแกเลยก็ว่าได้ มันเข้าหัวผมอย่างแน่นอน และทำให้ผมปฏิบัติตามอยู่ตลอดโดยอัตโนมัติแม้ว่าจะไม่ตั้งใจก็ตาม วันนี้ผมมีประสบการณ์ของตัวเองมา 40 กว่าปี ผมอยากจะเล่าในมุมของผมเองแบบไม่โลกสวยว่า “ผมไม่แน่ใจว่ามันทำได้จริง…” ประสบการณ์ ความรู้ ความผิดพลาด บทเรียน เรื่องนี้ส่งต่อกันได้ เป็นสิ่งที่โคตรน่าอัศจรรย์ มันทำให้มนุษยชาติมีวิทยากรมาได้อย่างที่เราเห็นๆกันอยู่ มันเป็นการส่งต่อ POW ของคนรุ่นก่อนหน้า ผ่าน protocol อะไรซักอย่างก็ตาม มาถึงคนรุ่นถัดไป ถ้า POW มันคือการใช้ ”พลังงานและเวลา” ไปกับเรื่องบางอย่าง เช่นนั้น การถ่ายทอดประสบการณ์กันจากรุ่นสู่รุ่น จากหนังสือ จากเรื่องเล่า จากครูอาจารย์มันก็คือการส่งต่อ “พลังงานและเวลา” ของคนเหล่านั้นไปสู่ผู้รับฟัง และนี่คงจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่า เรามีพลังงานและเวลามากกว่าคนรุ่นก่อนอยู่เสมอ คงจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราคิดว่า เราฉลาดกว่าคนรุ่นก่อน แต่มันเป็นเหมือนกฎอะไรซักอย่างของธรรมชาติ เราไม่สามารถส่งต่อพลังงาน โดยไม่มีการสูญหายไประหว่างทาง เหมือนกับเครื่องยนต์สันดานภายกำลัง 300 แรงม้า ต้องสูญเสียพลังงานไปกับการสั่นสะเทือน เสียง ความร้อน แรงเสียดทานของเพลาขับ ฯลฯ กว่าจะไปถึงล้ออาจเหลือกำลังเพียง 250 แรงม้าเท่านั้น ไม่ต่างอะไรกับการส่งต่อประสบการณ์ของใครซักคน เราไม่สามารถจะเรียนรู้ทำความเข้าใจมันได้อย่างท่องแท้ 100% จนกว่าเราจะเจอกับตัวเอง สมัยวัยรุ่นคิดว่าหลายคนคงเป็นเหมือนผม ชอบออกไปขี่รถกับเพื่อน กลับบ้านดึก พ่อกับแม่เตือนหลายครั้งเพราะเค้าเป็นห่วง บ่อยเข้า จนวันนึงพ่อพูดกับผมว่า “แกไม่รู้หรอกว่าพ่อกับแม่เป็นห่วงแกแค่ไหน วันที่แกมีลูกของแกเองจะเข้าใจ” ตอนนั้นผมคิดว่าผมเข้าใจที่พ่อพูดนะ ผมออกเที่ยวน้อยลงจริง เพราะไม่อยากให้เค้าห่วง คิดว่าเราเข้าใจเค้า แต่พอมีลูกเองจริงๆ ถึงได้รู้ว่าความเป็นห่วงของพ่อกับแม่จริงๆมันขนาดไหน เทียบไม่ได้กับที่เราเคยเข้าใจเลย คำว่า “เข้าใจ” คือมันต้องเข้าไปอยู่ในใจจริงๆ รู้สึกถึงมันจริงๆ แค่คิด นึกเอา หรือแม้กระทั่งผ่านการวิเคราะห์มายัง เราอาจจะยังเรียกว่า “เข้าใจ” ไม่ได้ หลายคนกว่าจะเป็นบิทคอยเนอร์คงจะผ่านการซื้อขายชิตคอยน์หรืออยู่ในตลาดหุ้นมาก่อนมากก่อน ผมก็เหมือนกับหลายๆคน พองานเริ่มเข้าที่ เริ่มมีเงินเก็บ ก็ต้องหาทางจัดสรรเงิน และก็เป็นเหมือนกับคนทั่วไปนั้นแหละ ศึกษาหาข้อมูล อ่านหนังสือเท่าที่จะหาได้ ก็คือพยายามเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่นให้ได้มากที่สุด เมื่อซัก10กว่าปีที่แล้ว หลังแฮมเบอร์เกอร์ไครซิสใหม่ๆ set น่าจะราวๆ 4-500 จุด ผมเริ่มลงทุนแบบVI จัดสรรเงินอย่างดีตามตำราแปะ สำรองจ่ายฉุกเฉิน cashflow fix-cost ประกัน ลงทุน Portก็โตแบบ 6-7% ต่อปีอยู่4-5ปี อยู่มาวันนึงเพื่อนผมคนนึงซึ่งเป็น developer ขายโครงการคอนโดที่ยังพัฒนาไม่เสร็จให้กับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เพราะตัวเพื่อนผมเค้าไปต่อไม่ไหวแล้ว และตัวบริษัทในตลาดก็มาซื้อเพื่อสร้าง story โดยจ่ายค่าโครงการทั้งหมดเป็นหุ้นวอแรนท์แทน และมีการคุยเป้าหมายของราคาหุ้นกันชัดเจน ผมที่รับรู้เรื่องราวโดยตลอดเห็นบริษัทออกข่าว ลากราคาหุ้นวิ่งขึ้น ออกข่าวร้ายทุบลง วิ่งขึ้นทุบลงๆๆ เป็นไปตามแผนงานที่เค้าวางไว้กันแบบวันต่อวัน ผมเพิ่งเข้าใจหุ้นปั่น หุ้นมีเจ้าจริงๆก็วันนั้น ผมเพิ่งรู้ว่าข่าวที่เราได้รับรู้กัน ถ้าไม่ช้าเกินไป ก็จะเป็นข่าวที่เค้าอยากให้เรารู้ ก็วันนั้น ผมเพิ่งรู้ว่า balance sheet ของบริษัทนั้นเชื่อถือไม่ได้ก็วันนั้น เรื่องนี้มีคนบอกเราอยู่ตลอด เราเชื่อ เราคิดว่าเข้าใจ แต่เราไม่คิดว่ามันจะขนาดนี้ ผมคิดว่าทางรอดในตลาดคือต้องอยู่ฝั่งเจ้าเท่านั้น.. บวกด้วยความโลภ ผมขายหุ้นทั้งหมด พร้อมกับเงินเก็บทั้งหมด! มาลงในหุ้นเพื่อน พร้อมกับได้รับราคาเป้าหมายที่จะต้องขายตั้งแต่วันแรกที่ซื้อ… เราว่าเราวงใน วงในแบบชิดกับคนทำหุ้นเลย ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่คุยกันไว้ port ผมบวกมากกว่าตลอด 4-5 ปีที่เริ่มลงทุนมาแบบไม่เห็นฝุ่น จนกระทั่ง…. เพื่อนผมกับบริษัทมหาชนนั้นทะเลาะกัน เหมือนเค้าอยากจะทำให้รู้ว่าเกมส์นี้ใครคุม เค้าเริ่มค่อยๆกดราคาลงมา จนผมเริ่มขาดทุน จาก -5% ,-10%,-20% แล้วมาค้างอยู่ -30% กันพักใหญ่ หลายเดือนเลย สุดท้ายทะเลาะแตกหัก เค้าทุบหุ้นแม่ลงมา หุ้นพวกผมซึ่งเป็นวอแรนท์ที่ไม่มี floor ราคาล่วงแบบแทบจะหมดค่า ผมจำวันที่ผมตกใจขายได้ดี มูลค่าเหลือไม่ถึง10% ของport ไม่ใช่ของportด้วย ของทั้งหมดในชีวิต วันนั้นแม่งคือหนึ่งในวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต มือไม้มันสั่นไปหมด สติมันไม่อยู่กับตัวเลย มันทำอะไรถูก นั้นคือเงินเก็บทั้งหมดของครอบครัวที่ผมกับเมียช่วยกันทำมา ภาพของสิ่งที่เราพยายามทำในช่วง 3-4 ปี มันลอยเข้ามา มันเป็นช่วง 3-4 ปีของการที่ต้องตื่นตี 3 กว่า ขี่รถเครื่องไปอีก 7-8 กิโล ไปที่ร้านเพื่อเริ่มทำขนม และทำมันทั้งวัน ปิดร้านทุ่มนึง ขี่รถกลับบ้าน พาลูกกินข้าวอาบน้าทำการบ้าน ได้นอนจริง 4-5 ทุ่ม ตี 3 ต้องตื่นอีกแล้ว… เป็นช่วง 3-4 ปีที่ผมกับเมียไม่สามารถใช้เงินกับเรื่องสนุกของชีวิตได้เลย เก็บอย่างเดียว เพราะหวังว่าสักวันชีวิตมันจะดีขึ้น (เหมือนจะถูกทางแต่เสือกเก็บผิดที่) ไม่ต้องพูดถึงไปเที่ยวต่างจังหวัด ปาร์ตี้กับเพื่อน ผมทำงาน 365 วัน เอาแค่หาเวลาไปต่อภาษีรถยังลำบากเลย ทั้งหมดที่ทำมามันหายไปหมดเลย…. บทเรียนที่ผมได้รับ ไม่ใช่ไม่รู้ ไม่ใช่ไม่เชื่อหนังสือหรือผู้มีประสบการณ์ ตำราทุกเล่ม อาจารย์ทุกสำนัก พูดเหมือนกันหมด “Money Management สำคัญที่สุด” ผมคิดว่ารู้แหละ ผมอ่านก็มาเยอะพอสมควร แต่เราเองนั้นแหละที่ไม่เข้าใจว่าไอ้ที่บอกว่าสำคัญที่สุด มันที่สุดขนาดไหนวะ ไม่ใช่ไม่เคยได้ยินว่าหุ้นวงในเนี่ยเชื่อไม่ได้ แต่เราเองที่ไม่เข้าใจว่า เชื่อไม่ได้มันคือเชื่อไม่ได้จริงๆ!!! แล้วผมก็เชื่อว่าผมจะไม่มีทางเข้าใจจนกว่าจะได้เจอเอง “บทเรียน ถ้ามันยังไม่ใหญ่พอ มันจะยังไม่ใช่บทเรียน” ไม่มีหรอก บทเรียนราคาถูก ถ้ามันไม่ใหญ่พอมันจะไม่เข้าไปในใจคุณหรอก ผมเชื่อว่าถ้าผมยังไม่เจอบทเรียนใหญ่ขนาดนี้ ในวันที่ตลาดชิตคอยน์บูม ผมก็ต้องมาหมดตัวในชิตคอยน์อยู่ดี ด้วยปริมาณเงินที่มากกว่าด้วย กว่าผมจะกล้าเล่าให้แฟนผมฟังว่าที่เราทำมาทั้งหมดไม่เหลือแล้วก็ผ่านไปร่วมสองเดือน เค้าพูดคำเดียวว่า “เป็นไงล่ะ เข็ดหรือยัง” ด้วยน้ำเสียงสบายๆ แอบติดแขวะนิดๆ ไม่มีต่อว่า ไม่มีอาการสลด หรือหมดความมั่นใจในตัวเราให้เห็น มันเหมือนยกภูเขาออกจากอก มันสบายใจ มันมีกำลังใจ มันเหมือนกับมีคนบอกว่า ไม่เป็นไร เรามาช่วยกันใหม่ หลังจากวันนั้นผมรู้แล้วว่าในตลาดหุ้นไม่ใช่ที่ของเรา จะเป็นVI ก็เชื่อถือ balance sheet เชื่อข่าวไม่ได้ จะเป็นเทรดเดอร์นั่นก็เป็นการทำงานอีกอาชีพนึงเลย ต้องใช้เวลาไปกับมัน งั้นเราไปใช้เวลากับสิ่งที่เราเก่งดีกว่ามั้ย ตั้งแต่นั้นผมก็เริ่มต้นเก็บเงินใหม่ฝากแบงค์ เดิน stement อย่างเป็นระบบ เพราะคิดว่า leverage ตัวเงินด้วยตลาดหุ้นไม่ได้ คงต้อง leverage กิจการด้วยแบงค์แทนแล้วกันวะ ….FUCK!!!! .... ระบบเหี้ยนี้แม่งวางแนวรุกแนวรับไว้หมดทุกทาง โชคดีฉิบหาย 2 ปี ต่อมา รู้จักบิทคอยน์ ทุกวันนี้เงินที่หายไปวันนั้นอาจจะดูไม่เยอะเท่าเดิม แต่บทเรียนและความรู้สึกในวันนั้น มันเข้าไปอยู่ในใจ ยังใหญ่และเจ็บปวดเสมอที่นึกถึงมัน ในทางกลับกัน ถ้าเราเป็นผู้ถ่ายทอดประสบการณ์แล้วคงจะหวังให้ผู้รับฟังเข้าใจเราอย่างลึกซึ้งคงเป็นไปไม่ได้ คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากที่จะอธิบายให้ลูกเข้าใจว่าการอกหักครั้งแรกมันหนักขนาดไหน จนกว่าเค้าจะเจอเอง คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากที่จะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจความสุขและความทุกข์ของการมีลูก มันเยอะพอๆกัน จนกว่าเค้าจะมีลูกเอง คงเป็นเรื่องที่เป็นไม่ฉลาดเลยที่คุณหวังว่าจะทำให้ใครเข้าใจบิทคอย จนกว่าเค้าจะเข้าใจบิทคอย ประสบการณ์ชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน และต่อให้เป็นประสบการณ์เดียวกัน ก็ตกผลึกไม่เหมือนกันอีก เราคงทำได้แต่เล่าว่าเราผ่านอะไรมาบ้างแค่นั้น “จงเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น แล้วคุณจะเข้าใจมันตอนคุณมีประสบการณ์ของคุณเอง” #Siamstr https://image.nostr.build/7858ca5a2618cd7562b53c7f0c30c41ada6ef5066dbc6edadc325a7a3bd8716d.jpg
และโน้ตนี้ก็เป็นการถ่ายทอด PoW และบทเรียนชั้นดีของพี่ปั้มให้กับน้อง ๆ อีกหลายคนในทุ่งม่วงนี้เลยครับ ผมเข้าใจความรู้สึกพี่เกินครึ่งแน่นอน จากประสบการณ์รู้จัก insider ปั่นหุ้นมาแล้วกับตาตัวเอง และประสบการณ์ทำสตาร์ตอัพแล้วพัง เงินเก็บเป็นสิบปีแทบวอด ชีวิตไม่มีหวัง จนกระทั่งรู้จักบิตคอยน์ โน้ตนี้ทรงคุณค่ามาก ๆ ขอบคุณนะครับ🙏
ใช่เลยครับ ไม่แปลกใจที่เรา buy idea ของบิตคอยน์ได้อย่างรวดเร็ว บทเรียนสอนให้เรารู้ว่าเราไม่สามารถใช้ความเชื่อใจกับอะไรได้เลย เวลาป้ายยาส้มไม่สำเร็จ เราก็พอจะเข้าใจเค้าว่า เค้าเจออะไรๆมาไม่เหมือนกับเรา เราแค่ทิ้งไอเดียไว้เฉยๆ วันที่เค้าคลิก มันจะคลิกเลย
ขอบคุณครับ เส้นทาง vi เจ็บปวดคล้าย ๆ กันเลยครับ แต่ผมโชคดีฟัง อ. @Piriya ⚡🟧 ก่อนเข้าไปแตะวงกร coin เลยไม่ได้ไปแตะ shit coin ใด ๆ เลยแม้ว่าแค่เทรดก็ตาม ประสบการณ์ของผู้อื่นมีค่า แต่ไม่ใช่ข้อจำกัด
ปล. ข้อจำกัดผมหมายถึงเช่น พ่อแม่ผมเจอแต่คนเจ๊งหุ้นก็บอกให้ผมอย่าแตะหุ้นมันคือพนัน แทนที่จะให้ผมเรียนรู้และตัดสินใจเอง เมื่อเรียนรู้น้อยภาวะจำเป็นหนีเงินเฟ้อหรือเหตุใดก็ตาม โดนชักจูงไปก็เจ๊งตามนั้น เหรียญมี 2 ด้านถ้าเข้าใจศึกษามากพอก็แตะได้ ถึงจะเจ็บแต่ได้เรียนรู้
Thank youครับพี่🧡แต่ไม่ว่าไงผมก็ไม่ชินรูปหน้าโปรไฟล์พี่อยู่ดี
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ ครับ แม้ว่าตอนแรกผมจะเลื่อนผ่านเพราะรูปโปรไฟล์ก็ตาม Btw, อรุณสวัสดิ์ครับ https://image.nostr.build/ef79b998ed7fad20d22a3c6d3b0cf496848406108c14f7244610c0085a5ed51e.jpg
มันเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้เฉพาะบุคคลจริงๆ ครับ ขอบคุณครับ
@์NATTAKON ไม่เป็นไรครับ
ก้เหมือนที่เราไปแจกยาส้มใครพวกเขาก้ยังไม่เข้าใจ จนกว่าวันหนึ่งที่มีเหตุการณ์ทำให้พวกเขาประสบพอเจอแล้วนึกถึงคำที่เราบอกวันนั้นแหล่ะ จึงจะเข้าใจ
ต้องผ่านความเจ็บปวด
ใช่เลย บางคนเจ็บแล้วเกิดการเรียนรู้ก้ดีไป แต่มีอีกประเภทชอบความซาดิส เจ็บซ้ำเจ็บซ้อนวนๆไป ไม่เจอ Exit Way
ขอบคุณมากๆครับพี่ รวมถึงที่ผ่านๆมาด้วย ประสบการณ์ของพี่สอนผมมากมาย มันเป็นเหมือนทางลัด มันทำให้ผมสามารถ simulate ตัวเองเข้าไปในสถานการณ์ต่างๆ และคิดทบทวนได้แม่นยำขึ้น เช่น 1.ผมไม่เคยยุ่งกับ ชิตคอยน์ เลยไม่ว่ามันจะน่าสนใจขนาดไหน ถึงแม้ตอนมันขึ้น 10 เท่า ผมก็ไม่รู้สึกเสียดายอะไร เพราะปลายทางของมันน่ากลัวเหมือนนรกอเวจี กลับกัน การเก็บออมและไม่ขาย btc และราคาลงมา 75% ถึงแม้จะรู้สึกเสียดาย แต่ผมเคยsimulateไว้ในใจแล้ว ว่าจะรับมือมันอย่างไรโดยผ่านประสบการณ์ของพี่ มันทำให้จิตใจผมเบิกบานและสามารถ stack sat ต่อไปได้ 2.ผมลองมาลด นน ด้วย if ระหว่างทางผมทำไปโดยไม่ค่อยรู้เรื่อง พอมีปัญหาก็จะโทรไปหาพี่อยู่บ่อยๆ พี่ก็ยอมให้เวลาของพี่กับผมในการอธิบายเรื่องต่าง ขอบคุณนะครับ มันทำให้นน ผมลดลงมาได้ 17 กก.และเลิกยาความดันได้ มันก็แปลกๆนะทุกๆครั้งที่ไปทำบุญหรือขอพรใดๆ นอกจากครอบครัวผม ผมก็จะขอให้ไปถึงครอบครัวพี่ด้วย ขี้เกียจพิมแล้วมันเยอะมากจริงๆ5555 สุดท้าย ขอขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ อาจารย์พี่แสนดี ที่เอนดูน้องชายคนนี้มาตลอดๆ รักพี่เสมอนะครับ จุ๊บๆ ปล btc ทำให้ผมบอกรัก ผู้ชาย ได้ โดยไม่เขิลอาย5555
แต่กุเขินนนนนน
ประสบการณ์ของพี่ที่เล่าให้คนอื่น ๆ ได้ฟังได้อ่าน ก็ได้กลายเป็น 1 ในประสบการณ์ของผู้ที่ได้ฟังได้อ่านมันไปแล้ว :) ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับว่าคนที่ได้ฟังได้อ่านอยากจะมีประสบการณ์ร่วมกันแบบนั้นกับพี่หรือไม่ และแน่นอนว่า ถึงแม้ผู้ฟังผู้อ่านอย่างเรา ๆ ไม่ได้ต้องการจะประสบพบเจอกับเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น ในบางครั้งเราก็ยังคงตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่างลงไป โดยที่หลงลืมไปว่าเรานั้นก็เคยได้รับฟังประสบการณ์แบบนั้นกันมาแล้ว (อย่าทำ) และแล้วเราก็ได้กลายไปเป็นหนึ่งในผู้มีประสบการณ์ร่วมกัน ซะอย่างนั้น.. :) เหมือนกับคนที่ได้เข้าไปในซอยที่มันตันไม่มีทางออก แล้วพี่ก็ออกมายืนตะโกนที่หน้าซอยบอกกับคนอื่น ๆ ว่าอย่าเข้าไป ทั้ง ๆ ที่พี่ไม่จำเป็นต้องมาบอกกับคนอื่น ๆ ก็ได้ และบางทีมันก็จะมีคนที่ยังจะอยากเข้าไปในซอยนั้นอยู่ดี ขอบคุณพี่ป้ำที่แชร์ประสบการณ์ของพี่ครับ 🧡ประสบการณ์แบบนี้มันล้ำค่ามากจริง ๆ
บทความนี้ดีครับ เมื่อก่อนผมก็ชอบมากๆคนเล่นหุ้น VI ลงทุนตามมูลค่าพื้นฐานของสินทรัพย์นั้นๆ แต่เมื่อผมได้มารู้จักกับ ปรัชญาของ Bitcoin ผมกลับมองสิ่งนั้นต่างออกไป หุ้นบริษัทหรืออะไรก็แล้วแต่ ตราบใดที่โลกใบนี้ขับเคลื่อนด้วยเงิน Fiat มูลค่าพื้นฐานของสิ่งๆนั้นถูกเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ดังนั้นมันจึงขัดแย้งกับคำนิยามของ VI ที่คนทั่วๆไปได้ให้ฉายากันมา โลกใบนี้มีเพียงแค่ 2 สิ่งที่มูลค่าพื้นฐานไม่เคยเปลี่ยนนั่นคือ เวลากับพลังงาน แม้คุณจะค้นพบแหล่งพลังงานใหม่ๆหรือแปรรูปพลังงานใหม่ๆออกมา อย่าลืมว่าสุดท้ายคุณก็ต้องเวลาอยู่ดีหากพิจารณาให้ดีจะเห็นได้ว่า Bitcoin มีทั้ง 2 คุณสมบัตินี้อยู่ในตัว การใช้พลังงานอย่างคุ้มค่ากับเวลาที่ใส่ลงไป แต่ผมค่อนข้างแปลกใจนักลงทุนที่คนทั่วๆไปให้ฉายาว่า คนนั้น VI คนนี้ VI กับไม่ชอบ Bitcoin เอาเสียเลยแปลกดีเนาะ? nostr:nevent1qqsfn5fezs8gv724dy3h0u0kfehzjq6f0m6x796y6sdrefvkhvnwttqpzdmhxue69uhhxeeww9jk6atjvyh8s7t6qgsfwl44pcxpjemklvn6jqnsa3z9nduq4sn7984s68fn2kupnnyn3ucrqsqqqqqp4g3s7w
"ผมจำวันที่ผมตกใจขายได้ดี มูลค่าเหลือไม่ถึง10% ของport ไม่ใช่ของportด้วย ของทั้งหมดในชีวิต" ผมเข้าใจความรู้สึกนี้เลย แต่ผมอาจจะโชคดีกว่าพี่นิดหน่อยตรงที่ผมยังเหลือ 30% ของพอร์ท 5555 แต่ 30% ที่เหลือนั้นถูกเปลี่ยนเป็น "sound money" ได้อย่างทันท่วงที เลยเป็นการขาดทุนแบบนอนหลับสบายในทุก ๆ คืน ปล.ทุกวันนี้ก็ยังไม่คืนทุนนะครับ ยังขาดทุนอยู่ประมาณ 35-40% ถ้านับรวมมูลค่าทุกอย่างที่ผมใช้เก็บประสบการณ์นี้ 😉
อินด้วยครับตอนขาดทุนนี้ไม่กล้าบอกใครได้แต่ซึมอยู่คนเดียว
ผมบอกครอบครัวว่าขาดทุนเยอะอยู่ (แบบยิ้ม ๆ) แต่ที่ไม่กล้าบอกคือแอบ stack sat ตลอดทุกเดือนนี่แหละครับ 555555 ปล.คนในครอบครัวคือวางยาส้มได้ยากที่สุด 😟
ต้องคนเคยสัมผัสจริงๆถึงจะเข้าใจครับ ต่อให้เล่าให้เห็นภาพยังไงก็ไม่เท่าลองดู 555555 ใครจะอยากลอง
พึ่งได้อ่านแบบเต็มๆ ขอบคุณสำหรับการถ่ายทอด POW ค่ะ และเห็นด้วยมากๆที่เราจะไม่เข้าใจมัน จนกว่าเราจะได้ประสบเข้ากับตัวเอง การอ่าน การฟัง สำหรับเรามันคือการสะสมเครื่องมือ การเรียนรู้วิธีใช้เครื่องมือ แต่เราจะเข้าใจถึงแก่นและประโยชน์จริงๆเมื่อ เราต้องใช้มันเพื่อเอาตัวเองให้รอดจากหลุมนี้
"ไม่เจอทุกข์..ไม่เห็นธรรม"
สิ่งที่ควรทำคือสิ่งที่เรา ถนัด ชอบ แช้วเก็บพลังงานส่วนเกินไว้ในแบตเตอรี่ที่เสื่อมช้า อย่าง bitcoin
ขอบคุณที่มาแบ่งปันครับ ผมเข้าใจความรู้สึกของการสูญเสียเงินที่ตั้งใจจะเก็บออมให้ชีวิตมีคุณภาพที่ดีขึ้นมันหายวับไปกับตาเลยครับ เงินก้อนนั้นมันมีอะไรหลายๆอย่างที่เราตั้งใจอัดใส่ไว้ในนั้น ตอนเจอนี่อาการไม่ต่างจากพี่เลยครับ 55555 ผมก็ว่าผมฟังกูรูหลายๆคนมาดีแล้ว ศึกษามาดีแล้วแต่สุดท้ายก็พลาด ไม่โดนกับตัวเองนี่ไม่มีวันเข้าใจจริงๆ กว่าจะลุกได้ก็ใช้เวลานานอยู่ครับ ทุกวันนี้ยังไม่กล้าบอกคนในบ้านเลย ทำได้แค่บ่นเรื่อง Fiat ให้เขาฟัง และแอบ Stack sats ไป ตอนนี้ผมมองว่าดีด้วยซ้ำที่ผมพลาดตั้งแต่ตอนนั้น เพราะหากเงินก้อนที่ผมจะใส่ลงไปมันใหญ่กว่านี้ผมคงเจ็บหนักกว่านี้ พอคิดได้แล้วก็เอาว่ะ ชีวิตเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
ใช่ครับ ผมคิดแบบนั้นเลย
Excellent, excellent heart touching story. Sincere and no bullshit (a.k.a. sugarcoating). I don't know if English speaking people are incapable of even thinking this way, or just keeping it to themselves. They don't know what they lose. If this was a jataka, here is what I learned: 1. Use wisdom and concentration capabilities of your mind to always clearly determine reward in the expected scenario and impact in the worst case scenario, and weigh one against another. 2. Parents were right, it is possible to avoid hard lessons while learning from experiences of others. And the more focused you are on the The Noble Eightfold Path the less errors you will make. In this case, clearly, blinding by greed is to blame. Had you thought more about parents advise, had you determined risks and rewards more clearly, you could have avoided the disaster or mitigated it significantly. I had made aimilar mistakes myself too, just with much less life altering amounts.
อ่านอันนี้ของ @panai_lawasut แล้วชอบมาก นึกคึกอยากจะขยายความต่อ เอาเลยละกัน nostr:nevent1qqsfn5fezs8gv724dy3h0u0kfehzjq6f0m6x796y6sdrefvkhvnwttqppamhxue69uhkummnw3ezumt0d5pzp9m7k58qcxt8wmaj02gzwrkygkdhszkz0c57krgaxd2msxwvjw8nqvzqqqqqqytulp43 สิ่งที่พี่ปณัยเล่ามันจริงแท้แน่นอน หลายเรื่องในชีวิตคนมักจะมีลักษณะ รู้ทั้งรู้ เข้าใจดีทุกอย่าง แต่เมื่อถึงเวลาก็ทำไม่ได้ ตามสุภาษิตที่คนไอเดียบรรเจิดชื่อ "เค้า" ว่าไว้อย่าง ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา เสียน้อยเสียมากเสียยากเสียง่ายอะไรทำนองนี้ และต้นตอคือการไม่มี Skin in the game คือยังไม่มีส่วนได้เสีย ยังไม่พบเจอกับผลกระทบดั่งไม้หน้าสามฟาดหน้าแหก เรายังไม่เจ็บ ยังไม่ปวด ยังไม่เจ๊ง ไม่ได้ฉิบหายอะไรนี่ เพราะฉะนั้นเราจะยังไม่รู้สึกจนกว่าเราจะเจอดี เราถึงจะได้ลิ้มรสความอร่อยเหาะนั้น และจุดนี้ก็มักเป็นจุดที่ มันสายไปเสียแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ย้อนเวลากลับไปไม่ได้แล้ว เราทำได้อย่างเดียวคือเลียแผลและจะเดินหน้าต่อในชีวิตยังไง บางคนล้มแล้วลุก ปลอบใจ ให้กำลังใจตัวเองและก็เลือกเดินหน้าต่อ ช่างแม่งมันปะไร เริ่มต้นใหม่ เก็บไว้เป็นบทเรียนว่ากูจะไม่พลาดซ้ำสอง และทำมันได้จริงๆ คนแบบนี้ถือว่าสุดยอด บางคนก็เลือกเอาแต่โทษตัวเอง สมน้ำหน้าตัวเอง มัวแต่คิดว่าถ้ารู้งี้กูอย่างงั้น รู้งี้วันนั้นน่าจะทำแบบโน้น ล้มแล้วล้มเลย ลุกไม่ขึ้น หรือบางคนก็อาจจะอยากลุกแต่ทำไม่ได้ ความผิดพลาดมันสร้างความเสียหายร้ายแรงเกินไป เอาตัวเองไปเสี่ยงในจุดใหญ่เกินตัวกว่าแปดล้านกิโลกรัม แต่จริงๆ มันก็ลุกได้ ใช้ชีวิตตามสภาพเพียงแต่อาจจะไม่สามารถกลับมาอยู่จุดเดิมได้อีก บางคนติด "ลูปนรก" แม้ความฉิบหายที่เกิดขึ้นจะร้ายแรงมากขนาดไหน แต่มันก็ยังไม่มากพอ บทเรียนที่ได้มันไม่ทำให้เข็ดหลาบ จำไปจนตาย เกิดอาการล้มแล้วลุก ล้มใหม่แล้วลุกใหม่ ล้มอีกลุกอีกไม่รู้จบ ตอนมันล่มสลาย ก็บอกตัวเองว่ากูรู้ซึ้งดีแล้วว่าว่าหนักหนายังไง เจ็บปวดแสนสาหัสแค่ไหน จนตั้งปณิธานกับตัวเองว่า กูจะไม่มีวันทำอีก แต่พอเวลาผ่านไป ก็เริ่มเข้าวงจรเดิม เพิ่มความเสี่ยง ไม่มีระเบียบวินัย ไม่รู้จักพอ ได้คืบจะเอาศอก ค่อยๆ พาตัวเองกลับไปอยู่ในจุดเดิม พอยืนบนขอบเหวเหมือนเดิมก็เพิ่งรู้สึกตัวว่า "ไอเวรเอ้ยกูเอาอีกแล้ว กูจะเจอกับหายนะอีกแล้วเหรอวะเนี่ย อย่าเลย ไม่เกิดได้มั้ย ครั้งก่อนกูโดนหนักมามากพอแล้ว" เริ่มได้สติตอนนี้มันสายเกินไปอีกแล้ว แก้ไขอะไรไม่ทัน และสุดท้ายมันก็พังจริงๆ ตามนั้น เพราะเราไม่สามารถจะมาเสกผลลัพธ์ที่เราต้องการได้ในบทสรุปหรือฉากสุดท้ายของเรื่อง ทั้งหมดทั้งมวลมาจากไอ้วายรายตัวเดียว ที่เรียกว่า "ความโลภ" ทุกคนรู้จักมันดีว่าจะสร้างความหายนะยังไง มันเข้าใจง่ายและไม่ซับซ้อน แต่การควบคุมและเอาชนะมันโคตรยากสุดๆ ให้ตาย สิ่งหนึ่งที่ต้องระวัง โดยเฉพาะเรื่อง "การลงทุน" คือ ลูปนรกไม่รู้จบ เพราะปัญหาคือ เรื่องที่ใหญ่มากพอของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน บางคนขาดทุน 50% ก็เกินพอ บางคนลบ 80% พอ บางคนล่อฟิวเจอร์โดนล้างจนเหลือ 0 เออกูพอ เมื่อเราโดนความโลภครอบงำ เราจะควบคุมความเสี่ยงไม่ได้ และเราจะขยายความเสี่ยงมากขึ้นไปเรื่อยๆ ได้แสนจะเอาห้าแสน จะเอาล้านจะเอาสิบล้าน ขาดทุนก็เช่นกัน เราไม่กล้าคัทลอสเพราะไม่ขายไม่ขาดทุน คัทเท่ากับเสียเงินจริง คัทแล้วมันเด้งใส่หน้าทำไง จากการเริ่มด้วยเงินเล็กน้อย เดี๋ยวซื้อเดี๋ยวขายด้วยเงินไม่มาก เราจะใส่สุดปลอก เราเอาเงินทั้งหมดในชีวิตมาทุ่มกับมัน เพราะอยากได้เงินเยอะๆ อยากรวยเร็วๆ อยากพลิกชีวิต อยากให้ผู้คนแซ่ซ้องว่าท่านสุลต่านสมนึก บางคนพี้กยิ่งกว่านั้น คือทุ่มเกินตัว นอกจากจะทุ่มทั้งหมดที่มีแล้วยังไปกู้ไปหยิบยืมเอาเงินคนรอบข้างมาอัด โดยคิดตื้นๆ ว่า ขอเอามาทำทุนก่อน เดี๋ยวกูก็รวย คืนเงินกลับได้สบายๆ พร้อมผลกำไรเบิกบาน แต่ความจริงกับสิ่งเพ้อฝันมันคนละเรื่อง เมื่อไรที่เราติดลูปนี้แล้ว ยังไงๆ เราก็จะลงเอยด้วยการเจ๊งแน่นอน 100% เจ๊งแล้ว ก็หาเงินมาใหม่ กู้ หยิบยืมมาใหม่ แล้วก็เจ๊งอีกไปเรื่อยๆ นอกจากตัวเองจะล้มละลายแล้ว ยังพาคนรอบข้างเดือดร้อน ฉิบหายไปด้วย บางทีบทเรียนครั้งใหญ่ก็อาจจะยังไม่พอ ถ้าเราไม่รู้ว่าจะแก้ไขมันยังไงในรอบหน้า หัวใจสำคัญคือต้องควบคุมความโลภให้ได้ ทุกอย่างมันมีที่มาที่ไป ปลูกแบบไหนก็ได้อย่างนั้น ถ้าเราดูแลต้นไม้อย่างดี รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ไล่แมลง ถอนวัชพืช มันก็จะเติบโตผลิดอกออกผลอย่างที่เราต้องการ แต่ถ้าเราไม่ได้ดูแลมันอย่างเหมาะสมถูกต้อง ปล่อยปละละเลย เมื่อวันที่มันจะเหี่ยวเฉาตาย เราจะมานั่งบอกว่า อย่าตายเลยนะ เนี่ยเรารดน้ำใส่ปุ๋ยไล่แมลงให้แล้ว มันก็ไม่ทันแล้วเพื่อนเอ้ย การลงทุนให้ประสบความสำเร็จมันเข้าใจง่ายแต่ทำยากมาก ตลาดมันจะบี้คุณจนร้องขอชีวิต คนจำนวนมากรู้เทคนิคทฤษฎีวิธีการทุกอย่างในการเทรด แต่ก็ขาดทุน เพราะระบบบอกให้ซื้อไม่ซื้อ บอกให้ขายไม่ขาย ดื้อออออ greed and fear ในสันดานเราสั่งให้ทำแบบนั้น แทนที่น้ำพักน้ำแรงมันจะงอกเงย หรืออย่างน้อยมันคงที่(ขี้เกียจแวะเรื่องเฟียต) สร้างความมั่งคั่งให้ชีวิตและครอบครัว ยกระดับคุณภาพชีวิตขึ้นไปเรื่อยๆ เรากลับเอามันไปทิ้งและเริ่มใหม่ ทิ้ง เริ่มใหม่ อีกแล้ว! ติดกับดักอยู่ในหลุมบ่อขี้ ทำท่าจะปีนขึ้นไปได้ก็ตกลงมาใหม่ สุดท้ายนี้ ถ้าเราไม่สามารถควบคุมความโลภตัวเองได้อยู่หมัด ไม่รู้ว่ากำไรที่เพียงพอคือจุดไหน ไม่รู้ว่าขาดทุนเท่าไรถึงยอมแพ้ ไม่นานเราจะโกงตัวเราเอง เราจะบิดพริ้ว อิดออดไม่ยอมทำตามสิ่งที่เราตั้งใจไว้เพราะความอยากได้และความเสียดาย และเราจะเสียหายในที่สุด และผมก็เองก็ไม่รอดเช่นกัน ดังนั้นสำหรับคนที่ยังเอาชนะความโลภตัวเองไม่ได้ การออม การ Stack Sat น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว เราค่อยๆ สะสมความอดทน ไม่ดื้อไม่ซน และมันจะไปออกผลในระยะยาว ทุกวันนี้ผมก็ยังควบคุมความโลภไม่ค่อยได้และหวังว่าจะปราบมันอยู่หมดในสักวัน เทรดก๊อกแก๊ก 3บาท 5 บาทพอรับมือได้ ยอดเงินน้อยความโลภที่เราใส่ไปก็น้อยตาม แต่ถ้าจริงจังทุ่มสุดตัวเมื่อไร ก็คงเจ๊งอยู่ดี แต่สิ่งนึงที่ผมพัฒนาชัดเจนจากร่างก่อนคือ ผมไม่สะทกสะท้านกับความผันผวนของราคาบิตคอยน์แล้วครับ ยาวอีกแล้วโว้ยยยยยยยยยยยย นี่สมนึกเองไม่ใช่นายจุ๊กกรุ๊เด้ย์ #Siamstr #ThailandZapathon #Thainostrich #zapathon #bitcoin #nostr
nostr:nevent1qqsfn5fezs8gv724dy3h0u0kfehzjq6f0m6x796y6sdrefvkhvnwttqppamhxue69uhkummnw3ezumt0d5pzp9m7k58qcxt8wmaj02gzwrkygkdhszkz0c57krgaxd2msxwvjw8nqvzqqqqqqytulp43
ในเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้.. ผมเคยทำให้คนหลายพันคนต้องเจ๊งระเนระนาดไม่เป็นท่าไปตามๆ กันมาแล้ว เพราะความไม่รู้จริงแต่คิดว่ารู้มากของตัวเอง เราจะคำนวณความหน้าชากันยังไงดี? แต่มันทำให้ผมดาวน์ไป 3-4 ปีเลยทีเดียวกับการลงทุน ไม่มีใครเข้าใจคำว่า "ของเทียม" จนกว่าจะสัมผัสมันเองว่ามันเทียมจริงๆ และผมคิดว่า เราสอนทั้งหมดไม่ได้ เหมือนกับเรื่อง Sex ที่ทุกวันนี้คนก็ยังอธิบายให้เห็นภาพไม่ได้ว่าตอนถึงจุดไคลแม็กซ์มันเป็นยังไงกันแน่... นอกจากลองด้วยตัวเอง
เหตุการณ์ของผมเองก็พาเพื่อนและญาติๆไปด้วย 7-8 คน ทุกวันนี้ยังรู้สึกผิดอยู่เลย แต่นี่หลายพันคน…! อันนี้ผมไม่กล้าบอกว่าเข้าใจความรู้สึกเลย
มันแย่ระดับที่ไม่อยากเงยหน้าอีกเลยครับ ซึ่งจริงๆ ก็ไม่มีใครสักคนจะเดินมาตราหน้าว่าอะไรเรา 'ความเสี่ยง' โดยเฉพาะที่เราควบคุมมันไม่ได้ ไม่ใช่สิ่งที่เราเคยรู้จักมาก่อน ทุกคนตกที่นั่งเดียวกัน แต่ผมคือ "หัว" ในยุคนั้น ยิ่งกว่าที่เป็นตอนนี้.. หลังจากนั้นผมเลือกจะไม่เตือนอะไรใครอีกเลย เพราะผมเข้าใจดีเวลาที่เราโลภ เวลาที่เราคิดว่าเราคิดถูก เราเก่งที่สุด อะไรก็ทำลายคสามเชื่อมั่นนั้นไม่ได้.. ผมได้แต่บอกว่า ผมไม่เล่นในสนามที่ผมจะต้องแพ้ ผมไม่แทงไฮโลในวงที่ไม่ได้เป็นเจ้ามือเอง ..ผมสอนเรื่องนี้ไปมากหลังจากวันนั้น ไม่ใช่สอนว่าควรทำอะไร แต่เล่าเหตุการณ์ความบรรลัยของผมให้คนฟังอย่างไม่อาย พวกเขาอาจไม่รู้ว่าวันนั้นผมเจ็บปวดแค่ไหน แต่อย่างน้อยพวกเขาก็เห็นว่าตลาดทำงานอย่างไร มันยิ่งทำให้ผมเข้าใจบิตคอยน์ได้ง่ายขึ้น ในวันที่เราเริ่มเปิดใจให้มัน หลายคนในวันนั้นยังคงนับหน้าถือตาผมอยู่ แต่ผมละลายใจเหลือเกินครับ.. สุดท้ายผมก็ต้องเลือกจะให้อภัยตัวเอง เพื่อจะก้าวเดินต่อไป ประสบการณ์ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใด ไม่ว่าของใคร เราก็เรียนรู้จากมันได้เสมอครับ
@panai_lawasut Do that, and while on it, make sure you learn from experiences of others. Both positive and negative. nostr:nevent1qqsfn5fezs8gv724dy3h0u0kfehzjq6f0m6x796y6sdrefvkhvnwttqpp4mhxue69uhkummn9ekx7mqzyzthadgwpsvkwahmy75syu8vg3vm0q9vyl3favx36v64hqvueyu0xqcyqqqqqqg2adgpr