ทานเนื้อหน่ะดีอยู่...แต่มีรายละเอียดนิดหน่อย ที่อยากให้เพื่อนๆร่วมชี้แนะ แลกเปลี่ยนความเห็นกันได้เลยครับ👇👇👇 1.ประเด็นเรื่องการปรุง ผมทราบมาว่า ด้วยความร้อนที่สูงกว่า100องศา ทำให้เกิดค่าAGE(อนุมูลอิสระตัวนึง) ที่สูงไปตามลำดับ โมเลกุลนี้มีฝีมือในการทำให้ผนังหลอดเลือดเปราะได้เก่งมาก นั่นแปลว่าการทอดและการจี่ ย่าง เผา โดยตรงทำให้AGEเพิ่มขึ้นมาก ยังไม่นับเรื่องปฏิกิริยาที่เผา ย่างตรงๆทำให้เกิด เฮเทอโรไซคลิกแอโรแมติกเอมีน อีก เดี๋ยวกลายเป็นว่าไม่เป็นแล้วเบาหวานแต่ จะกลายเป็นสะสมมะเร็งแทนได้ อาจจะต้องระมัดระวังตรงนี้ไหมครับ เพราะการปรุงผ่านน้ำเกิดAGEต่ำมาก (ตุ๋น ต้ม นึ่ง) 2.ประเด็นเรื่อง โอเมก้า3และ6 ผมทราบมาว่าหมู ไก่ ไข่จากฟาร์มที่เลี้ยงด้วยกากถั่วเหลืองและข้าวโพดในอุตสาหกรรมทั่วไป ให้สัดส่วนเนื้อและไขมันที่เต็มไปด้วยโอเมก้า6 ต่างจากสัตว์ในธรรมชาติสมัยก่อนที่หากินเองจะมีโอเมก้า3ในสัดส่วนที่สูงกว่าอย่างชัดเจน การทานเนื้อ ไข่ที่มาจากฟาร์มอาจจะกระตุ้นการอักเสบในร่างกายเราได้แหลกลาน เพราะโอเมก้า6มันล้นมาก อาจจะต้องระวังเรื่องนี้ด้วยไหมครับ เพื่อนๆพี่ๆมีประสบการณ์ข้อมูลต่างๆเพิ่มเติมสามารถพูดคุยชี้แนะได้เลยนะครับ #Siamstr #Fiatfood #Health ปล.ในภาพคือต้นไม้โดนฟ้าผ่าครับ ท้ายสวนผมเลย 🥲 https://image.nostr.build/fe85d63c8eb09b33eb623b038efb77a2ce97a6a746aff4f41e359a8d64b4dd50.jpg
จริงอยู่ที่การเกิด AGE มาพร้อมกับความร้อนในการทำอาหาร โดยเฉพาะการทำอาหารที่ร้อนมากๆและใช้เวลานานๆ เนื้อวัวก็ไม่พ้นกลไกนี้ เพียงแต่ว่ามันดีกว่าอาหารอื่นๆตรงที่ กระบวนการเกิด AGE จะแย่มากๆถ้ามีคาร์บรวมอยู่ด้วยครับ เช่นเดียวกับ ความไหม้เกรียม HCAs กับ PAHs เช่นกัน ถ้าสังเกตร้านปิ้งย่าง ระหว่างโต๊ะที่มีน้ำซอสปกติ กับ โต๊ะที่ขอเนื้อแบบไม่ราดน้ำซอส การเปลี่ยนตะแกรงของ 2 โต๊ะนี้จะต่างกัน โต๊ะน้ำซอสแทบจะเปลี่ยนทุก 10นาที ในขณะที่โต๊ะไม่ราดน้ำซอส แทบไม่ต้องเปลี่ยนเลยตลอด 1.30 ชั่วโมงบุฟเฟ่ ฮาๆๆๆ นั่นเพราะคาร์บเร่งกระบวนการเหล่านี้ขึ้นมาอีกหลายเท่า อีกทั้งส่วนเนื้อเกรี้ยมไหม้ดำ เราก็ควรเขี่ยออกอยู่แล้ว เพราะแทบไม่เหลือสภาพสารอาหารให้ดูดซึมเลย นี่เป็นเหตุผลที่ นอกจากแค่เนื้อวัวแล้ว การปรุงพวกเราจึงแนะนำให้กินระดับ แรร์ ไม่เกิน มีเดียมแรร์ เพราะมันจะโดนความร้อนไม่นาน (มีเดียมแรร สุกที่อุณหภูมิ 55องศา) หรือสำหรับคนที่กังวลมาก บ่อยครั้งที่ผมซูวีเนื้อระดับ แรร์ แล้วจี่กระทะเหล็กเอาครัสสวยๆ ก็พอจะเลี่ยงได้ครับ แต่เอาจริงๆไม่ต้องเลี่ยงขนาดนั้นก็ได้ ทำเสต็กให้ถูกวิธี ก็ช่วยเรื่องพวกนี้ได้พอสมควร ไม่ตกในระดับที่จะทำร้ายร่างกายหนักหน่วงแล้วครับ มาถึงเรื่องโอเมก้า อาหารพวกธัญพืช ตัวอาหารเองโอเมก้า6 สูงก็จริง แต่กระบวนการย่อยของวัวต่างกับคน จุลินทรีย์ในการย่อยตามแต่ละกระเพาะวัว จะทำการแปลงวัตถุดิบไปเป็นแร่ธาตุตามกล้ามเนื้อ จริงอยู่ถ้าจะเทียบวัวกินหญ้า มันจะมีโอเมก้า3 มากกว่า แต่ก็มากกว่าเพียง "เล็กน้อย" ส่วนวัวที่ grain fed อาจจมีโอเมก้า6 มากกว่า "เล็กน้อย" แต่ก็ไม่ได้มีนัยยะสำคัญในปริมาณครับ ไม่ได้ "อุดมไปด้วย" โอเมก้า 6 ตามที่บอกต่อๆกัน เพราะอะไร? นั่นเพราะ สัตว์เคี้ยวเอื้อง จะมีการสะสม PUFA หรือ ไขมันไม่อิ่มตัว เชิงซ้อน ในปริมาณที่น้อยครับ (โอเมก้า 3 และ 6 เป็นไขมันประเภท PUFA) กระบวนการเคี้ยวเอื้องนั้นเปลี่ยนกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน PUFA ให้กลายเป็นไขมันอิ่มตัว SFA เรียกว่าเก็บไว้ไม่ถึง 2% แต่ ที่ถามเรื่องหมูและไก่ อันนี้ตามหลักการแล้ว สัตว์เหล่านี้จะเก็บมากกว่าเพราะไม่ได้ย่อยอาหารกระบวนการเดียวกับวัว ดังนั้นมีโอกาสเก็บ PUFA ถึง 20% แต่ทั้งนี้ยังสู้น้ำมันพืชไม่ได้ครับ โอกาสการได้รับ PUFA จากน้ำมันพืชมีมากกว่า ทั้งปริมาณและความบ่อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอักเสบเลยนะครับ โอเมก้า6 เป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกายเช่นกัน โอเมก้า 3 ลดการอักเสบ องค์ประกอบการสร้างอวัยวะ โอเมก้า 6 เป็นพลังงาน ถ้ากังวล เราสามารถกินอาหารที่มีโอเมก้า3 เข้ามาช่วยเสริมได้ เช่นแซลมอนดิบ นั่นเป็นเหตุผลที่บอกให้เกินหลากหลายนั่นเองครับ (ในกรณีไม่ได้เน้นเนื้อเคี้ยวเอื้องนะครับ) เพราะโลกนี้ถ้าจะดูตัวโอเมก้ากันจริงๆ มันหาอาหารที่เป็นสัดส่วนอุดมคติยากครับ ในขณะที่จักรวาลคู่ขนาน คาร์บเองก็เป็นปัจจัยที่ก่อการอักเสบหนัก มาก และเร็ว กว่าเยอะเลยครับ นอกจากนี้ การนอนที่ดี การตากแดด ก็มีส่วนช่วยในการบำบัดโทษจากโอเมก้า6ด้วยเช่นกัน ตอบครบไหมหว่า 555 เอาแบบสั้นๆคือ เรื่อง AGE ยังไงเสีย การ cooking ที่ต้องใช้ความร้อนก็ไม่รอดครับ เอาที่แย่น้อยที่สุดที่สบายใจทั้งรสชาติและระดับความสุก เรื่อง โอเมก้า จริงครับ กินหญ้ามีน้อยกว่า แต่ไม่ถึงกับนัยยะสำคัญ เพราะสัตว์เคี้ยวเอื้องเก็บน้อย ถ้าหมูกับไก่ จะเก็บมากกว่า แต่ก็ไม่เคยเห็นฟาร์มหมูไก่กินหญ้าเช่นกัน ต้องไปพิสูจน์กับสายเบญจา ว่ามัน fiat ไหม ตรงนี้ต้องไป verify ครับ สำคัญสุดคือ โอเมก้า6 ไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นสุดแบบที่หลายสำนักพยายามใส่บทบาทให้ เพื่อขายโอเมก้า3 เม็ด #siamstr
ตามที่เฮียโต้งว่าเลยครับ
แค่สามารถ fast และ 0 carb ได้ ผมว่าเป็นผลบุญที่ทำให้เราได้ใช้ชีวิตแบบ EV+ มากแล้วนะครับ 5555 คือเคยทำอยู่ประมาณ 2-3 เดือน แต่น้ำหนักลดจนกางเกงหลวม (อุตส่าห์ออกกำลังกายแล้วน้า ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ foot hand crawl 200-500 ก้าวได้ กล้ามเนื้อมันเหมือนจะมีขึ้นๆมาเพิ่ม จนญาติที่ไม่ได้เจอกันนานก็ทักว่ากล้ามใหญ่ขึ้นนะ แต่ด้วยความที่ไขมันมันไม่ค่อยสะสม หน้าเราก็จะตอบๆ😅) ปัญหาคือ ผบ.ทบ. ผู้เป็นเจ้าชีวิตเกิดอาการเป็นห่วง และกดดันให้กลับมากินข้าว + กิน 3 มื้อ เพื่อให้ร่างกาย “มีน้ำมีนวล” ทุกวันนี้ต้องขอบคุณการได้ทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ที่ทำให้อย่างน้อยเราก็ได้ fast นานขึ้นอย่างสม่ำเสมอ เพราะอ้างว่าไปกินข้าวเช้าที่ออฟฟิศและทำให้ตัดแป้งในมื้อ breakfast ได้ 55555 อย่างน้อยกินข้าวมื้อเย็นที่บ้านก็คิดซะว่าช่วยหลับ 55555 แต่มันก็สอนให้ผมรู้ว่า ความสามารถในการเอาความรู้ไปถ่ายทอด มันสำคัญขนาดไหน คือบางทีเรารู้ แต่เราอธิบายให้คนในบ้านเข้าใจไม่ได้ มันก็ทำไม่ได้อยู่ดี 555555 หรือบางที แค่รู้ผิวๆว่าการทำแบบนี้ มันเหมือนจะมี expectancy ดีกว่าที่คนอื่นทำนะ แต่เราก็ไม่ได้เข้าใจกลไกอย่างลึกซึ้งจริงๆหรอกว่าทำไมอย่างงั้น ก็จะทำให้เราอธิบายต่อยากไง 😅 ส่วนตัวก็พยายามทำเท่าที่จะทำได้ด้วยความพยายามในระดับที่เราจะทำได้อย่างสม่ำเสมออะ เอาไข่ไปเวฟเป็นไข่ดาวน้ำ กินคู่กะอาหารที่หาได้ทั่วไปตามนอกบ้าน cycle การเลี่ยงไปเรื่อยๆ อยากเลี่ยง seed oil ก็ไปดู process meat ในร้านสะดวกซื้อ อยากเลี่ยง INS ของ process meat ก็ไปปลากระป๋อง ถ้าไม่สะดวกร้านสะดวกซื้อก็ไปสั่งร้านตามสั่ง ทะเลลวกจิ้ม ต้มยำ หรือสั่งพวกผัดๆยอมรับน้ำมันพืชเข้าร่างกายไปบ้างอาทิตย์ละหน่อยก็ได้ 😂 เหมือนบ่นเรื่องตัวเองอะ สาระจริงๆไม่มี 55555555