![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/b34b440824d517ec4da6ac67f3197dbc9f03d82d70fdeb7f4b77909bacfb9667/files/1716030211075-YAKIHONNES3.png)
***Project 259 ***เป็นโครงการวิจัยลับที่ริเริ่มขึ้นโดยสมาคมน้ำตาลแห่งสหรัฐฯ (Sugar Research Foundation) ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นสมาคมอุตสาหกรรมน้ำตาล (Sugar Association)
เพื่อศึกษาผลของการบริโภคน้ำตาลซูโครสต่อสุขภาพ ภายใต้การดำเนินงานของนักวิทยาศาสตร์จาก University of Birmingham ประเทศอังกฤษ เพื่อศึกษาผลของการบริโภคน้ำตาลซูโครส(น้ำตาลทราย)ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อมโยงระหว่างน้ำตาลกับโรคหัวใจและเบาหวาน [1]
การทดลองได้ดำเนินการในหนูทดลองทั้งเพศผู้และเพศเมีย โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับอาหารซึ่งมีน้ำตาลซูโครสในสัดส่วนสูงถึง 67% และกลุ่มที่ได้รับอาหารซึ่งใช้น้ำตาลจากแป้ง (Starch) ในสัดส่วน 43% เป็นระยะเวลายาวนานกว่า 20 สัปดาห์
ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มหนูที่ได้รับน้ำตาลซูโครสมีระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับน้ำตาลสตาร์ชอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยความแตกต่างนี้เด่นชัดมากในหนูเพศผู้ นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มที่ได้รับน้ำตาลซูโครสมีความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีสูงกว่าถึง 2 เท่า และมีความผิดปกติของระดับกรดไขมันและเอนไซม์บางชนิดในลำไส้ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเกิดโรคหัวใจและเบาหวาน [1][2]
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/b34b440824d517ec4da6ac67f3197dbc9f03d82d70fdeb7f4b77909bacfb9667/files/1716030235474-YAKIHONNES3.png)
แม้ผลการศึกษาจะบ่งชี้ถึงอันตรายของการบริโภคน้ำตาลซูโครสในปริมาณสูงอย่างชัดเจน แต่ทางสมาคมน้ำตาลฯ กลับตัดสินใจระงับโครงการในปี 1970 โดยไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลการค้นพบเหล่านี้แต่อย่างใด ในจดหมายที่หัวหน้าโครงการเขียนถึงสมาคมฯ ได้ระบุว่า ถึงแม้ผลงานวิจัยชิ้นนี้จะมีคุณูปการอย่างยิ่งต่อวงการวิทยาศาสตร์ แต่ข้อสรุปที่ได้อาจส่งผลกระทบในทางลบอย่างร้ายแรงต่ออุตสาหกรรมน้ำตาล จึงนำมาสู่การตัดสินใจที่จะฝังเรื่องนี้เอาไว้ ไม่ให้ข้อมูลหลุดรอดออกไปสู่สาธารณะ [1][3]
ข้อมูลเกี่ยวกับ Project 259 ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะเป็นครั้งแรกในปี 2017 โดยคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก (UCSF) ซึ่งได้ค้นพบเอกสารลับเหล่านี้จากคลังจดหมายเหตุที่มหาวิทยาลัยเป็นผู้เก็บรักษาไว้ [4] การเปิดเผยในครั้งนี้จึงเป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า วงการอุตสาหกรรมน้ำตาลรับรู้ถึงอันตรายของน้ำตาลที่มีต่อสุขภาพมาเป็นเวลานานหลายทศวรรษแล้ว แต่กลับเลือกที่จะปกปิดความจริงและบิดเบือนข้อมูล เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเอง [1][5]
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/b34b440824d517ec4da6ac67f3197dbc9f03d82d70fdeb7f4b77909bacfb9667/files/1716030389957-YAKIHONNES3.png)
ความคล้ายคลึงของกรณี Project 259 กับพฤติกรรมของอุตสาหกรรมยาสูบในอดีตนั้น เห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่ง ทั้งในแง่ของความพยายามในการสร้างงานวิจัยที่มีอคติเพื่อปกป้องสินค้า การสร้างข้อกังขาต่อข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ขัดแย้งกับผลประโยชน์ขององค์กร และการใช้อิทธิพลทางการเมืองเพื่อขัดขวางมาตรการกำกับดูแล [6][7] จึงเป็นบทเรียนสำคัญที่เตือนให้เห็นถึงความจำเป็นในการกำกับดูแลอุตสาหกรรมอาหารอย่างเข้มงวด และสร้างความโปร่งใสในการวิจัยและการสื่อสารข้อมูลสู่สังคม เพื่อปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน [5][8]
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งการบริโภคน้ำตาลเกินความต้องการ โดยเฉพาะจากเครื่องดื่มรสหวานและอาหารแปรรูป กลายเป็นปัจจัยสำคัญของการระบาดของโรคอ้วนและเบาหวานชนิดที่ 2 ในวงกว้าง [9][10] ส่งผลให้เกิดภาระอันใหญ่หลวงต่อระบบสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคม ตลอดจนสร้างความทุกข์ทรมานแก่ผู้ป่วยและครอบครัวเป็นอย่างมาก [11][12]
หากอุตสาหกรรมน้ำตาลเลือกที่จะดำเนินการแตกต่างออกไป มีความโปร่งใสและใส่ใจต่อข้อมูลงานวิจัยของตนเอง ไม่ปกปิดข้อเท็จจริง ประชาชนอาจจะได้รับข้อมูลและการศึกษาเกี่ยวกับโทษภัยของน้ำตาลมาตั้งแต่หลายทศวรรษก่อน และแนวทางการป้องกันปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องก็อาจจะถูกนำมาใช้ตั้งแต่ในจุดเริ่มต้น ซึ่งน่าจะช่วยลดขนาดและความรุนแรงของวิกฤตที่เกิดขึ้นในปัจจุบันลงได้มาก [5][13]
การเดินตามรอย "บาปของธุรกิจยาสูบ" จึงยิ่งแสดงให้เห็นเด่นชัดว่า การปกป้องผลกำไรของธุรกิจโดยไม่คำนึงถึงอันตรายที่เกิดขึ้นกับสุขภาพของผู้บริโภค นับเป็นความประมาทเลินเล่อและขาดความรับผิดชอบอย่างร้ายแรง ที่จะสร้างความเสียหายต่อปัจเจกบุคคล ชุมชน และสังคมโดยรวม อย่างกว้างขวางและยาวนาน เป็นบาดแผลฉกรรจ์ที่ยากจะเยียวยา ด้วยเหตุนี้จึงถึงเวลาที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันต่อต้านและตรวจสอบการประพฤติมิชอบของอุตสาหกรรม [14] ควบคู่ไปกับการลงทุนในมาตรการป้องกันและควบคุมการบริโภคน้ำตาลเกินพอดี [15][16] เพื่อให้เราสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพที่ดีของประชาชนทุกคน และป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์อันเลวร้ายนี้ต้องซ้ำรอยอีก
เอกสารอ้างอิง:
[1] Kearns, C. E., Schmidt, L. A., & Glantz, S. A. (2016). Sugar industry and coronary heart disease research: a historical analysis of internal industry documents. JAMA internal medicine, 176(11), 1680-1685. https://doi.org/10.1001/jamainternmed.2016.5394
[2] Project 259 report. (1968). https://www.industrydocuments.ucsf.edu/docs/skkw0228
[3] Hickson, J. (1970). Letter to Dr. Albert Stunkard. https://www.industrydocuments.ucsf.edu/docs/jnkw0228
[4] Stanton, A. (2017, November 21). Big Sugar Buried These Concerning Health Studies 50 Years Ago. Thrillist. https://www.thrillist.com/health/nation/sugar-industry-health-studies-project-259-heart-disease-research
[5] O'Connor, A. (2016, September 12). How the Sugar Industry Shifted Blame to Fat. The New York Times. https://www.nytimes.com/2016/09/13/well/eat/how-the-sugar-industry-shifted-blame-to-fat.html
[6] Brownell, K. D., & Warner, K. E. (2009). The perils of ignoring history: Big Tobacco played dirty and millions died. How similar is Big Food?. The Milbank Quarterly, 87(1), 259-294. https://doi.org/10.1111/j.1468-0009.2009.00555.x
[7] Oreskes, N., & Conway, E. M. (2011). Merchants of doubt: How a handful of scientists obscured the truth on issues from tobacco smoke to global warming. Bloomsbury Publishing USA.
[8] World Health Organization. (2017). Tackling NCDs:'best buys' and other recommended interventions for the prevention and control of noncommunicable diseases. World Health Organization. https://apps.who.int/iris/handle/10665/259232
[9] Malik, V. S., Popkin, B. M., Bray, G. A., Després, J. P., & Hu, F. B. (2010). Sugar-sweetened beverages, obesity, type 2 diabetes mellitus, and cardiovascular disease risk. Circulation, 121(11), 1356-1364. https://doi.org/10.1161/CIRCULATIONAHA.109.876185
[10] Basu, S., Yoffe, P., Hills, N., & Lustig, R. H. (2013). The relationship of sugar to population-level diabetes prevalence: an econometric analysis of repeated cross-sectional data. PloS one, 8(2), e57873. https://doi.org/10.1371/journal.pone.0057873
[11] Yach, D., Stuckler, D., & Brownell, K. D. (2006). Epidemiologic and economic consequences of the global epidemics of obesity and diabetes. Nature medicine, 12(1), 62-66. https://doi.org/10.1038/nm0106-62
[12] American Diabetes Association. (2018). Economic costs of diabetes in the US in 2017. Diabetes care, 41(5), 917-928. https://doi.org/10.2337/dci18-0007
[13] Nestle, M. (2015). Soda politics: taking on big soda (and winning). Oxford University Press.
[14] Stuckler, D., & Nestle, M. (2012). Big food, food systems, and global health. PLoS medicine, 9(6), e1001242. https://doi.org/10.1371/journal.pmed.1001242
[15] World Health Organization. (2015
#nortr
#fastingfatdentist
#หมอบ่นfiat
#healthstr
#health
#IFF
#nutrition
#fiat
#siamstrOG
#siamstr
#bitcoin
#siamesebitcoiners
งานเขียนทรงคุณค่ายิ่งกว่าเปเปอร์ในเจอนัลชั้นนำ 55555