เงินเฟ้อ คือ ภัยคุกคามสูงสุดของอารยธรรมมนุษย์
https://image.nostr.build/7cd2ac97e075b2658475fef2ea9e978fe203f531cf0d2c4a2457e1d1b536e186.jpg
มันมีมาตั้งนานแล้ว ไม่ได้เพิ่งเคยเกิดขึ้น ประวัติศาสตร์กำลังซ้ำรอยเดิม เพียงแต่ครั้งนี้ มันเลวร้ายยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
โรมันกลายเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่เพราะเหรียญทองคำตราจักรพรรดิ และล่มสลายเพราะมันเช่นกัน
ยุคแรกๆ ของการใช้ทองคำเป็นเงิน การค้าขายยังไม่ได้ขยายขอบเขตมาก เนื่องจากความยุ่งยากเสียเวลาในการแลกเปลี่ยน เพราะทองคำแต่ละก้อนมีขนาดไม่เท่ากันก้อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง
ทำให้ในยุคสมันนั้นจะซื้อขายกันแต่ละที จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักทองตามมูลค่าสินค้า ซึ่งค่อนข้างยากโดยเฉพาะการใช้จ่ายยอดเล็กๆ
ร้านค้าใหญ่ๆ จะมีหม้อสำหรับหลอมทองไว้คอยบริการ เวลาลูกค้าจ่ายเงินมาก็เอาทองไปหลอม แล้วรินเฉพาะค่าสินค้าออกไป
กว่าจะจบการซื้อขายมันหลายขั้นตอน ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างเชื่องช้า
แต่ข้อดีของระบบทองคำก้อนนี้ คือ ทองคำมันยากสำหรับทุกคน ประชาชาชนทั่วไปสามารถเป็นผู้ผลิตเงินได้ ผ่านการค้นหาตามแหล่งธรรมชาติ เพียงแต่ว่าด้วยความหายากของมัน ทำให้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะทำงานมาแลก เพราะมันเป็นวิธีที่ง่ายกว่าการขุดทองในถ้ำ หรือร่อนทองตามแม่น้ำด้วยตัวเอง
แม้การผลิตทองเข้าสู่ตลาดหลักๆ จะมาจากคนร่ำรวยที่มีบริวารมาก แต่มันไม่มีการผูกขาดการผลิต ใครที่มีศักยภาพและคุ้มค่าพอที่จะทำ ก็สามารถเป็นผู้ผลิตทองคำได้
แต่หลังจากที่จักรพรรดินำทองคำและแร่เงินไปหลอมเป็นเหรียญ ออเรียส และ ดีเนเรียส เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน มาตรฐานของระบบการเงินจึงเกิดขึ้น เศรษฐกิจก็เริ่มขยายตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้โรมันกลายเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจสุดๆ
เหรียญเหล่านี้มีคุณสมบัติดีเยี่ยมในการเป็นเงิน มันมีมูลค่าและขนาดเท่าๆ กันโดยไม่ต้องมานั่งชั่งตวงวัด พกพาสะดวก เก็บรักษามูลค่าได้ ทุกคนให้การยอมรับและเชื่อมั่นว่ามันเป็นของแท้ เพราะจักรวรรดิเป็นคนทำ
แต่สิ่งที่ต้องแลกมา คือ อำนาจผูกขาดในการควบคุมระบบการเงินแบบเบ็ดเสร็จ
การผลิตเงินถูกย้ายจากประชาชนไปอยู่ในมือของจักรพรรดิแต่เพียงผู้เดียว คนอื่นไม่มีสิทธิ์ผลิต ใครหาทองคำมาได้ก็ต้องเอาไปขายให้โรงกษาปณ์ของจักรวรรดิ เพราะเอาไปใช้จ่ายตรงๆ แล้วไม่มีใครรับ ไม่มีใครอยากมานั่งเสียเวลาชั่งตวงวัด ทุกคนเชื่อใจในเหรียญตราจักรพรรดิเท่านั้น
ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยมนุษย์นั้นโลภมากเสมอ และเมื่อเงินถูกผูกขาดมันก็นำมาซึ่งการ "โกง" ทุกครั้ง
จักรพรรดิเริ่มสั่งให้มีการหลอมเหรียญทองใหม่โดยผสมโลหะราคาถูกลงไป เพื่อให้ผลิตได้จำนวนมากขึ้น กาลเวลาผ่านไปจากเหรียญทองความบริสุทธิ์ 95% ค่อยๆ ถูกยัดไส้จนเหลือเพียง 5% ตอนที่อาณาจักรพบกับการล่มสลาย
ซึ่งปรากฏการณ์นี้แหละที่เรียกว่า "เงินเฟ้อ" สร้างความพังพินาศในระบบเศรษฐกิจของอาณาจักร รวมถึงพื้นที่อื่นๆ ที่ใช้เหรียญนี้เป็นเงิน
เกิดเงินเฟ้อรุนแรง ข้าวยากหมากแพงไปทั่วทุกหัวระแหง ราคาสินค้าถีบตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ จนรายได้ประชาชนวิ่งตามไม่ทัน
ผ่านไปหลายปี ผู้คนก็เอาตัวไม่รอด รายได้ไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ ชีวิตยากขึ้นและยากขึ้นตามการเสื่อมค่าของเงิน (คุ้นๆ มั้ย) สุดท้ายก็ยากจนข้นแค้นกันทั้งบาง
...ความวิบัติก็เกิดขึ้น
ผู้คนต้องดิ้นรนมากขึ้นและยอมทำทุกวิถีทางเพื่อเิาตัวรอด แม้ว่ามันจะไปทำร้ายใครก็ตาม สังคมค่อยๆ เสื่อมทรามลง กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน เกิดอาชญากรรม ใช้ความรุนแรงเพื่อแย่งชิง เกิดความไม่พอใจและความเคียดแค้นในจักรวรรดิ รวมตัวกันต่อต้าน เกิดสงครามกลางเมือง เกิดความแตกแยก ผู้คนเสื่อมศรัทธา
จักรวรรดิที่เคยยิ่งใหญ่ก็อ่อนแอลงสุดขีด ประชาชนต่างพากันย้ายหนีเพื่อเอาตัวรอด จนสุดท้ายถูกคนนอกเข้ามารุกรานจนนำไปสู่การล่มสลาย หลายบันทึกประวัติศาสตร์บอกว่า ประชาชนต่างพากันยินดีด้วยซ้ำ ที่จักรวรรดิถูกยึดครองและเปลี่ยนผู้นำ แม้จะเป็นกลุ่มคนเถื่อนก็ตาม
มันสะท้อนให้เห็นว่าความหวังและอนาคตของผู้คนมันหมดสิ้นแล้วจริงๆ
หลังจากนั้นก็เกิดอาณาจักรใหม่ที่รุ่งเรืองและล่มสลายซ้ำๆ มากมาย ทั้งหมดล้วนมีการทำลายมูลค่าเงินตัวเองของผู้ปกครอง
และสกุลเงินเฟียตที่เราต้องใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ เรียกได้ว่าเป็นเงินที่ "ชาติหมา" ที่สุดที่โลกนี้เคยมีมา แม้ว่าในอดีตผู้ที่ผูกขาดอำนาจการผลิตเงินจะแอบโกงได้ แต่มันยังต้องมีทองคำที่เสกไม่ได้ในการผลิต
แต่ ณ วันนี้ ไม่มีเหี้ยอะไรเลย ใครจะอยู่ก็อยู่ กูไป
#Siamstr
นานๆมาที โดนทุกดอกครับท่าน👍🏻..สมัยเปลี่ยน เทคโนโลยีเปลี่ยน แต่มนุษย์นี่มันไม่เคยเปลี่ยน โลภ อำนาจ พวกพ้อง ผ่านมากี่ปีก็ยังเป็นเหมือนเดิม!
Proof of work มีได้ฉันใด Proof of KUYISUSYEDMAMCHATMAR ก็มีได้ฉันนั้น