Oddbean new post about | logout
 "นโยบายนี้เอง.. ก็คือการบังคับให้ผู้เสียภาษีต้องเลี้ยงดูคนอื่น โดยไม่คำนึงว่าเขาจะพยายามอย่างจริงจังที่จะเลี้ยงดูตัวเองหรือไม่.."

https://i.nostr.build/fXzEcMy9KHdOTKYz.jpg

“...ต่อไปจะมีแค่ไม่กี่คนในระบบช่วยเหลือเยียวยา ที่จะมีรายชื่อยู่ในสถานะพร้อมเป็นลูกจ้าง และคนเหล่านี้ก็จะพบว่าตำแหน่งงานที่ “เหมาะสม” ในสายตาของพวกเขานั้นมีน้อยเหลือเกิน 

พวกเขาอาจตกลงเข้าร่วม “โครงการฝึกอบรม” ที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากรัฐบาล โดยเฉพาะหากพวกเขาได้รับเบี้ยเลี้ยงเดือนละ 30 ดอลลาร์สำหรับการเข้าร่วมโครงการนี้ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็จะเพียงแค่ทำแบบขอไปที 

และไม่ว่าในกรณีใด คุณภาพของโครงการฝึกอบรมที่บริหารจัดการโดยภาครัฐ จะเทียบไม่ได้เลยกับการฝึกอบรมทักษะที่จำเป็นด้วยระบบการฝึกหัดแบบดั้งเดิมในอุตสาหกรรมภาคเอกชน 

ที่แน่นอนที่สุดคือ.. โครงการใด ๆ ที่พยายามบังคับให้คนทำงานเพื่อแลกกับสวัสดิการ จะถูกประณามว่าเป็นการ “ใช้แรงงานทาส” และในที่สุดแล้วเงื่อนไขว่าต้องทำงานก็จะถูกยกเลิกไปอย่างเงียบ ๆ

“ภาระภาษีจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะจ่ายสวัสดิการให้มากขึ้น จะเกิดความพยายามผลักภาระส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นนี้ ไปให้กับบริษัทหรือบุคคลที่มีรายได้สูง 

ซึ่งจะเป็นการขัดขวางและกัดกร่อนแรงจูงใจในการผลิต ซึ่งเป็นรากฐานของความกินดีอยู่ดีของทุกคน..

รายจ่ายภาครัฐจะพุ่งสูงขึ้นเร็วยิ่งกว่ารายได้จากการจัดเก็บภาษี นำไปสู่การขาดดุลเรื้อรัง เงินเฟ้อ และการทำลายอำนาจการซื้อของกรมธรรม์ประกันภัย เงินบำนาญ และเงินออมของประชาชน…"

— ส่วนหนึ่งจากงานเขียนของ Henry Hazlitt ในหนังสือ Man vs. The Welfare State (1969) ที่ตอบโต้การนำเสนอนโยบาย "Negative Income Tax" โดย Milton Friedman

ทำไมเขาจึงคิดว่านโยบาย Negative Income Tax ย้อนแย้งในตัวเอง? 

ทำไมมันจึงมีแนวโน้มจะสร้างปัญหาตามมา? 

..และวิธีการต่อสู้กับปัญหาความยากจนที่ดีกว่าคืออะไร? 

อ่านฉบับเต็มได้ที่ 👇 https://mises.org/mises-daily/fallacies-negative-income-tax

#siamstr