Talk : ชีวิตที่เป็นรมณีย์ | โจน จันใด สวัสดีทุกๆคนครับ ก็อยากจะมาเล่าประสบการณ์ชีวิตที่เป็น รมณีย์ ให้ฟังนิดหนึ่ง เพราะว่า ผมเป็นคนที่เกิดในช่วงต่อระหว่างยุคสมัย รุ่น พ่อ ปู่ ลุง ของผมเนี่ย ก็เป็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่มีความฝันมีเป้าหมาย อยากมีชีวิตที่เป็น รมณีย์ แต่ว่า เขาไม่ได้ใช้คำนี้ในยุคนั้นครับ เป็นภาษาบาลี คนในสมัยก่อนเขาไม่ใช้คำนี้ เขาใช้คำว่า อยากจะไปอยู่แบบสงบๆ ก็คือคนที่ เติบโตขึ้นมาแล้วเนี่ย เลี้ยง ครอบครัวจนได้ดิบได้ดีเสร็จปุ๊บ บั้นท้ายของชีวิตช่วง 60 ขึ้นไป คนเหล่านี้ก็จะ เข้าวัดครับ เข้าไปอยู่ในวัด ไปอยู่ในร่มเงาของต้นไม้ ในวัดก็จะมีสระน้ำ มี หนองน้ำ มีความเย็นสบาย แล้วก็คนเหล่านี้ ต้องการที่จะไปชื่นชมบรรยากาศ ที่สงบ ร่มรื่น เพลิดเพลินกับความสงบ คำว่าเพลิดเพลินกับความสงบ มันเป็น เป้าหมายของคนยุคก่อน อย่างหมู่บ้านผมก็จะพิเศษหน่อยเพราะเป็นหมู่บ้าน ของพระกรรมฐานเป็นหลัก คนส่วนมากบั้นปลายก็คือจะทิ้งงานต่างๆ ให้ลูกให้ หลาน แล้วตัวเองก็จะไปเข้าวัด ไปปัดกวาดบริเวณวัด ไปนั่งสมาธิภาวนา ไปทำ วัตรสวนมนต์ เข้ารู้สึกถึงความสงบเย็นและเพลิดเพลิน ซึ่งแต่ก่อนผมไม่เข้าใจเลย ว่า คำว่าเพลิดเพลินกับความสงบมันหมายถึงอะไร แต่วันหนึ่งลุงของผม พาผมไป ทุ่งนานั่งอยู่บนกระท่อม มองไปในทุ่งนาที่ต้นข้าวเขียวๆ กำลังถูกลมพัดเป็นคลื่นๆ แกบอกว่า สงบนะ ผมก็รู้สึกว่ามันสงบยังไงมันกำลังเคลื่อนไหวอยู่ แต่จริงๆแล้ว มองดูชัดๆ เนี่ยเราจะเห็นความสงบท่ามกลางความเคลื่อนไหวครับ นี่คือความ งดงามที่คนในยุคเก่าชื่มชม แล้วก็เพลิดเพลินกับการใช้ช่วงสุดท้ายของชีวิตกับ ความงามในความสงบตรงนั้น ซึ่งภาษาบาลีอาจจะใช้คำว่า รมณีย์ก็ได้ แต่ว่า ความเชื่อ ความฝัน ความรู้สึกแบบนั้นมันเริ่มจางหายไป ตอนที่มีไฟฟ้าเข้ามาใน หมู่บ้าน มีโทรทัศน์ เข้ามา มีรถมอเตอร์ไซร์เข้ามา โทรทัศน์คือสิ่งแรกที่บอกว่า พวกเรานี่จน การแก้ปัญหาความยากจนคือต้องทำงานมากขึ้นหาเงิน จากนั้นมา เป้าหมายของคนก็เปลี่ยนจากคำว่า รมณีย์ กลายมาเป็นเงิน เป็นความร่ำรวย จนถึงทุกวันนี้ ไม่ค่อยมีคนรู้จักคำว่า รมณีย์ อีกแล้ว ไม่มีคนที่ใฝ่ฝันถึงความสงบ ร่มรื่น ไม่มีคนอยากจะไปใช้ชีวิตอย่างสงบร่มรื่นอีกแล้ว เพราะหลายๆคนบอกว่า ล้าหลังไม่เจริญ ต่อต้านความเจริญก้าวหน้า คนก็มุ่งหาความร่ำรวยทางทรัพย์สิน เงินทองมากขึ้น ก็ทำให้เศรษฐกิจอะไรเติบโตขึ้นทุกอย่าง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ คือ ลึกๆแล้ว แต่ละคนยังโหยหาความสงบร่มรื่นทางภายในกับธรรมชาติซึ่งใน สมัยก่อนจะเน้นความเพลิดเพลินกับความจริง ความดีและความงาม ก็เลยทำ ให้สังคมสงบ แม้ว่าจะมีเรื่องร้ายๆบ้าง แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นรุนแรง แต่ในปัจจุบัน เนี่ย เรามีอะไรมากมายกว่าคนสมัยก่อนเยอะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นในวันนี้ก็คือ ความเครียด ความกลุ้มความกังวล หลายคนนอนไม่หลับครับ การนอนไม่หลับ กลายเป็นโรคชนิดใหม่ ที่กำลังเกาะกินชีวิตของคนจำนวนมากในวันนี้ ดังนั้น วันนี้ก็เลยเป็นวันที่คนกำลังโหยหาแต่ไม่รู้สึกตัว ว่าตัวเองโหยหาอะไร หาดิ้น รนทำงานหนักซึ่งสมัยก่อนการมีเป้าหมายอยู่ที่ ความเป็น รมณีย์ มันจะทำให้ รู้สึกเบาสบาย สงบ ร่มรื่น แต่วันนี้เป้าหมายอยู่ที่ความร่ำรวย ชีวิตก็จะเปลี่ยน ไป วันนี้ก็จะมีแต่ความเครียด ความกลุ้ม ความร้อน ความรุนแรง ความระอุ นี่คือสิ่งที่ผมเริ่มสังเกตเห็นและทำให้ผมคิดถึง การใช้ชีวิตแบบนั้นว่า เราจะกลับ ไปสู่ตรงนั้นได้อย่างไร แต่เราไม่ได้อยากไปอยู่แบบนั้น เพียงแต่ว่า เราอยากจะ ทำให้มันดีขึ้นกว่านั้นได้อย่างไร มันเป็นไปได้ไหม อันนี้คือสิ่งที่ทำให้ผมสนใจที่ จะคิดถึงเรื่องความสงบ ความเย็น ความร่มรื่นแบบนั้น ก็เลยทำให้ผมเริ่มมาทำ เกษตร มาปลูกป่าผมปลูกป่าทุกปีนะครับ ปีหนึ่งไม่ต่ำกว่าร้อยต้น แม้ไม่ใช่ที่ของ ตัวเองผมก็ปลูกเพราะทันทีที่ปลูกป่าเนี่ย ผมถือว่ามันคือทรัพย์สินของเราทุกคน ไม่ว่าจะในที่ใคร ออกซิเจนที่ต้นไม้ให้ออกมา ไม่มีใครเป็นเจ้าของนะครับ เราใช้ ร่วมกัน ร่มเงาความเย็นมันก็เป็นของทุกๆคน คนที่ใช้ร่วมกัน ดังนั้น ทุกปีผมก็ เลยต้องมีการไปร่วมกับคนนั้นคนนี้ ไปช่วยทุกปี นี่คือสิ่งที่ผมเห็นว่าวันนี้ ชีวิต เรานั้นเหนื่อยมาก เครียดมาก ท้อมาก มองไม่เห็นฝั่งเลยว่า เมื่อไหร่เราจะได้หยุด พักสักที เมื่อไหร่เราจะได้รู้สึกผ่อนคลาย เพราะเป้าหมายของเราคือกำไรสูงสุด หรือมีเงินมากขึ้นแต่ไม่มีข้อจำกัด ดังนั้นในสภาวะแบบนี้ การกลับมาคิดถึงสภาวะ ที่เป็นความร่มเย็น เป็นความเพลิดเพลิน กับความจริงความดีงามเนี่ย มันคือ ทางออกที่ทำให้เราไม่เครียด ไม่กลุ้ม เบา สบาย ทุกวันนี้ผมเห็นว่าเราส่วนใหญ่ ทำงานหนักมาก เพื่อย่อยทรัพยากร เพื่อย่อย ดิน น้ำพืช สัตว์ และสังคม แปรรูป มาเป็นเงินนี่คืองานหนักที่พวกเราทำ แต่มีกี่คนที่ทำงานหนักเพื่อที่จะสร้างดิน น้ำ พืช สัตว์ ให้มันดีขึ้น วันนี้เราบริโภคมากเกินความสามารถของธรรมชาติ ที่จะผลิตตรงนี้ให้เราได้ วันนี้เราจึงมาถึงจุดอับจนทางสังคมมากมาย ไม่รู้ว่า เราจะไปไหนต่อ ทั้งโรคระบาด ทั้งสงคราม ทั้งสิ่งแวดล้อมแปรปรวน อะไรต่างๆ จะเริ่มถาโถมเข้า ดังนั้นการกลับมาคิดถึงชีวิตที่เป็น รมณีย์ จึงเป็นสิ่งที่ควร กลับมาใคร่ครวญอีกครั้งหนึ่ง การหาเงินเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่การสร้างทรัพยากร ขึ้นมาทดแทน ก็จำเป็นยิ่งกว่าเช่นกัน เพื่อที่เราจะอยู่ได้ ดังนั้นการกลับมาคิดถึง ตัวเอง เรารักตัวเองได้ไหม ถ้าเรารักตัวเองได้ ชีวิตก็จะก้าวเข้าสู่ความเป็น รมณีย์ มากขึ้น แต่วันนี้เราไม่ได้รักตัวเอง เราทำงานหนัก แต่เราไม่เคยถามว่าเราทำงาน หนักไปเพื่อใคร เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็คือร่างกายของเรา เราทำงาน หนักได้เงินได้ทองมา แทนที่เราจะซื้ออาหารที่เป็นอินทรีย์มาบริโภค เพื่อให้ ร่างกายเราดีขึ้น เรากลับบอกว่ามันแพง ซื้อกินได้ยังไง ข้าวกิโลละ 50 บาทแต่พอ ไปซื้อกาแฟแก้วละ 80 บาท เราไม่เคยถามสักคำเลยว่าแพงหรือไม่แพง ทั้งๆที่ กาแฟไม่ใช่อาหาร อันนี้คือสิ่งที่อยากจะยืนยันว่าเราไม่ได้รักตัวเอง ฉะนั้นถ้า เรารักตัวเอง เรากลับมาคิดถึง เราต้องกินสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเรา วันนี้ถ้าเราลดการ กินไข่ ไก่ หมู ป่าก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ควัน มลพิษทางอากาศทั้งหลาย ก็จะลดลงมากทีเดียว เพราะวันนี้คนทุกคนต้องกินไก่ ไข่ หมู วันละ 3 มื้อ จำเป็นจะต้องผลิตไก่ไข่หมูให้พอ เราก็เลยต้องถางป่า ปลูกข้าวโพดเยอะมาก เพื่อที่จะเลี้ยงตรงนี้ ดังนั้น ผมเห็นว่าวันนี้ยังไม่สายเกินไป ที่เราจะมาคิดถึง ความสุขสงบ ร่มเย็นในชีวิตครับ กลับมาคิดถึงตรงนี้ แม้เราจะเป็นคนเมือง ปลูกต้นไม้ไม่ได้ปลูกผักอะไรไม่ได้ แต่เราสามารถส่งเสริมคนที่ปลูกได้ ไปช่วย เหลือเกื้อหนุนคนที่เขาทำได้และก็มาลดตัวเองลงว่าเราจะกินให้หลากหลาย ได้อย่างไร ไม่ใช่แค่ ไก่ หมู วันไหนก็ไข่เจียว ทุกวัน ถ้าเราเริ่มกินอะไรที่แตก ต่างและหลากหลายมากขึ้น ความหลากหลายคือความงดงาม ความหลากหลายคือความมั่นคง ความหลากหมายคือความยั่งยืนครับ ถ้าเราเริ่มมากินหลากหลาย สุขภาพเราก็จะเปลี่ยนไปในแนวทางที่ดีขึ้น สิ่งแวดล้อมก็จะดีขึ้น ผมคิดว่าแค่นี้ เราก็เปลี่ยนอะไรได้เยอะมากแล้วในชีวิต ฉะนั้นวันนี้ผมได้ตัดสินใจมาใช้ชีวิตแบบนี้ ให้เวลากับตัวเองมากขึ้น แล้วก็ พยายามที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลคนที่คิดคล้ายๆกันมากขึ้น อันนี้คือสิ่งที่ผมคิดว่า ผมพอจะทำได้แค่นี้ ในฐานะที่เป็นชาวนาเล็กๆคนหนึ่ง เราทำได้แค่นี้ แต่คน อื่นๆ ถ้าทำได้มากกว่านี้ ผมก็คิดว่า มันจะยิ่งใหญ่มาก #Siamstr https://www.youtube.com/watch?v=Zn1RSYTnOpQ