Oddbean new post about | logout
 อยากเห็นการศึกษาในระบบตลาดเสรีครับ 

#Siamstr 
 พอมีไอเดียไหมครับ เริ่มกันยังไงดี 
 ก่อนอื่นคงต้องเริ่มจากการแก้การบังคับเนื้อหาความรู้ที่จะต้องรู้ของ"การศึกษาขั้นพื้นฐาน"ก่อน ครับ ผมว่าอย่างน้อยในระดับมัธยม ระดับความคิดของมนุษย์น่าจะพอแยกแยะความชอบ ความถนัด สิ่งที่ไม่ชอบ ได้แล้ว หรือคิดว่าสิ่งไหนไม่จำเป็น

แม้ว่าปัจจุบันจะมีการจัดการศึกษาในภาคของเอกชนแต่กรอบหลักสูตรก็ยังต้องผ่านกระทรวงศึกษาธิการอยู่ดี

ผมเป็นครูสอนคณิตศาสตร์โรงเรียนเล็ก ๆ ซึ่งเด็ก ๆมีผู้ปกครองทำน้ำตาลมะพร้าว พวกเขาเคยช่วยผู้ปกครองทำงานในสวน และคิดว่าอนาคตเขาจะสานต่อกิจการที่บ้าน ขณะที่ผมสอนเรื่องทฤษฎีวงกลมให้เขารู้ผมก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราอยากสอนให้เขารู้แล้วเขาอยากรู้ทฤษฎีวงกลมไปทำอะไรกันนะ ทั้งที่เป้าหมายค่อนข้างชัดเจน

การศึกษาปัจจุบันผมว่าเหมือนเรากำลังใส่ปุ๋ยเคมีแบบเดียวกันให้กับต้นไม้คนละพันธ์กันครับ 
 เรากำลังพูดถึง การเริ่มต้นสร้าง Home School ในลักษณะที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่ทำกันเองไหมนะ บางทีอาจต่องเปิดเวทีหารือกัน 
 ผมคิดว่าก่อนที่จะมีโรงเรียนโลกนี้น่าจะมี Home School ก่อนนะครับ แต่แค่ไม่มีใครออกใบอนุมัติว่าคุณเรียนรู้แล้ว 
 เราติดเรื่อง Certificate ติดกับดักตรงนี้

เราควรถูกสอนให้สร้างงานเองได้ ซึ่งมันไม่ต้องมีใครมาอนุมัติ เช่น อ.ตั๊ม ที่สร้าง RS, จิงโจ้ ที่ทำหนังสือ, ขิง ที่สอนบิตคอยน์ ฯลฯ นี่คืองานที่เราสร้างขึ้นเอง ซึ่งมันก้อมาจากความรู้ที่ไม่มีใครรับรองทั้งสิ้น

แต่ผมว่า ผมอาจหาเวทีให้พงกเราได้ลองแลกเปลี่ยนกันออนไลน์ในอนาคตครับ 
 เพราะแนวคิดแบบ Socialism ครับ ใช้แนวคิดผลิตมนุษย์ออกมาให้เหมือนๆกันแบบโรงงานปลากระป๋อง 
 ซื้อครับ โรงเรียนฝึกหัดวิชาชีพ อคาเดมีทุกรูปแบบ ไปจนสำนักบู๊ตึ๊ง ได้หมด 55 
 คิดถึงสมัย gold standard

พ่อแม่มีลูกเยอะ แต่ก็มีเงินเลี้ยงพอ

ก็เป็นธุรกิจในครอบครัวขนาดใหญ่ ทำไร่ ทำสวน ทำไม้ ทำดาบ พ่อแม่สอนลูก ตายายสอนหลาน ไม่จำเป็นต้องมีโรงเรียน เป็นพ่อแม่Full time ไม่ต้องรีบร้อนหาเงิน 
 อยากเห็นเหมือนกันครับ ว่าจะออกในรูปไหน 
 อยากเรียนไรก็เรียน วิชาที่ไม่สนก็ไม่ต้องเรียน เสียเวลา ประมาณนี้ป่ะครับ 
 ใช่เลยครับ หรือถ้าเราคิดว่าวิชาสำคัญไม่จำเป็นสำหรับเรา ถึงวันนึงถ้ามันจำเป็นจริง ๆ เราจะวิ่งกลับมาหามันเองครับ 
 เย้🥳🥳🥳🥳🥳🥳 
 บางทีถ้าเราอยากรู้ว่าเราอยากทำอะไรถนัดอะไร ออกไปตามหามันในสังคมด้วยตัวเองน่าจะหาได้ไวกว่าอยู่ในห้องเรียนนะ #Siamstr 
 Yes🔥 
 นั่นสิ มองย้อนกลับไปเรื่องที่ผมเรียนในโรงเรียนแล้วมีประโยชน์จริง ๆ ถึงทุกวันนี้ ส่วนมากเป็นวิชาเสริม หรือกิจกรรมแยกย่อยทั้งนั้นเลย

- การแข่งสแครบเบิ้ล ภาษาอังกฤษ
- งานประกวดดนตรีประจำปี
- การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์ลีกโรงเรียน
- วิชาดนตรี วิชาพละ
- การก่อไฟ กากผูกเชือก การทำอาหารพื้นฐาน (ลูกเสือ)
- วิชาเพาะปลูก เตรียมแปรง ทำระบบชลประทาน
- การเย็บปักเสื้อผ้า การซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าเบื้องต้น
- ชมรมคนรักหนัง
- ชมรมห้องสมุด
- คลาสย่อย ๆ สอนแปลเพลง 
 ถ้าตลาดแรงงาน efficient ตลาดการศึกษาก็จะ efficient ตาม
ถ้าคนเห็นว่างานอะไรรายได้สูง/สบาย/ตอบโจทย์ เขาก็จะหาทางดิ้นรนศึกษาเพื่อให้ได้ทำในงานนั้น
คนถึงไปเรียนเทรดกับลุงฉโลก/อ.พิริยะ
หรือไม่ก็เรียนเขียน code แบบ self learn กันมากมาย เพราะหวังจะอัพค่าแรงตัวเอง

แต่ถ้าตลาดมันไม่ efficeint มันมองไม่เห็นราคาที่แท้จริง เช่นอาชีพที่มันถูกกำหนดราคาโดยรัฐ มันก็บอกยากว่าดีมานการศึกษาเพื่อเป้าหมายอาชีพนี้มันดีมานด์จริงหรือปลอม

แต่ที่แน่ๆ พวก over regulation น่าจะหายไป ผมเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย แต่ต้องมาดีลกะพวกงาน”ประกันคุณภาพ” ที่มันมีทางรับประกันได้จริงว่าทุกคนที่จบออกไปแล้วจะเก่งจริงหรือมีคุณภาพจริง เหมือนแค่ทำเอกสารไปตามที่มันมีให้ทำเฉยๆ ตามที่มาตรฐานเขา regulate เอาไว้ 
 เลือกตั้งรอบที่ผ่านมา มีนโยบายของพรรคไหนสักพรรค (เราเห็นตอนนโยบายนี้ตอนทำแบบสำรวจ) 
ที่จะเปลี่ยนเงินสนับสนุนการศึกษาที่มอบให้โรงเรียนเป็นมอบให้ผู้ปกครอง ให้เอาไปใช้กับโรงเรียนที่ตัวเองอยากส่งลูกหลานไปเรียน 

ถ้านโยบายนี้เกิด 
โรงเรียนขนาดเล็กก็อยู่รอดได้ ถ้าเสนอหลักสูตรที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค และ โรงเรียนขนาดใหญ่ ที่อัตราส่วนครู:นักเรียนน้อยเกินไปก็อาจจะตาย

นอกจากแข่งเรื่องหลักสูตรแล้ว 
ยังต้องแข่งการหาครูด้วย โรงเรียนต้องแข่งกันมอบค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผลให้บุคคลากร และ การบังคับให้ครูทำงานให้โรงเรียนแบบไร้สาระ ไม่คุ้มค่าแรง ก็เสี่ยงเสียบุคคลากร

คิดแล้วมันก็น่าสนุกดี ถ้าเป็นจริง 
 ใช่ครับปัญหาใหญ่ที่สุด น่าจะอยู่ที่ว่า ยังมีกรอบหลักสูตรพื้นฐานที่ถูกออกแบบโดยรัฐอยู่ครับ 
 ปีนี้มีเด็กเกิดใหม่ประมาณ500,000คน ในขณะที่เด็กที่เข้ามหาวิทยาลัยปีนี้ เกิดในปีที่มีเด็กเกิด 800,000คน

ปีนี้คณะฯเรา (ซึ่งน่าจะทั้งมหาวิทยาลัย) ปรับลดอัตรการรับเข้าป. ตรี และเน้นรับป. โทเอก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่เราจะพูดถึง

ลักษณะของการสอนปีนี้เด็ก30คน (ปกติ 50คน) สอนปฏิบัติยังคงอยู่ที่ 1:8-1:10 ส่วนบรรยาย 1:30 จากเเดิม 1:50 และมันรู้สึกว่า บรรยากาศในห้องมันดี สอนได้ทั่วถึง พูดคุยเรื่อยเปื่อยได้เกินครึ่งห้อง นั่นหมายความว่า เด็กจะเข้าหาเราง่ายขึ้น ความสงสัย ความกังวลในอาชีพ ในอนาคต เราจะไกด์เค้าได้ง่ายขึ้นและทั่วถึงขึ้น

ในขณะที่หลายคนมองว่า เด็กที่น้อยลงคือความเสี่ยง แต่เราว่านี่คือโอกาสครั้งใหญ่ ที่เราสามารถทำ personalized learning (คำนี้โผล่ขึ้นมาในหัวซักพัก แต่ไม่มั่นใจว่ามันผ่านมาจากการอ่านเล่มไหน)

ถ้าการศึกษาไทยจะเปลี่ยน ช่วงเวลา 2ปีนี้ เหมาะมากที่เราจะปรับโครงสร้างการศึกษา เพื่อจัดการศึกษาที่เหมาะกับต้นไม้แต่ละต้น เลือกคนปลูก เลือกปุ๋ย เลือกน้ำ เลือกอาหาร เลือกสิ่งแวดล้อม

#Personalized learning
#Be your own school

สองคีย์นี้ เป็นสิ่งที่อยากเรียนเอกต่อ รวมทั้งการทำ homeschool แนว unschooling เหมือนที่คุณมิ้นพูดในสภายาม่วงวันก่อน

แล้วพอมาอยู่ในสภาพแวดล้อมของ bitcoiner เราเห็นโอกาสเล็กๆ ว่ามันสามารถทำได้ เราเห็น diploma ของ El Salvador ใน github เราเห็นความแข็งแกร่งของ community เราเห็น prove of work ของงานที่หลากหลาย เราเห็น mind set ของตลาดเสรี แถม เมื่อเช้าฟังจารย์ขิงอธิบาย taproot อีก

มีไอเดียอยู่ประมาณนึง แต่ยังไม่เคลียร์ ขอตกผลึกให้มากกว่านี้ก่อน ใครอยากแจมยกมือไว้รอได้เลยฮ้ะ

#siamstr

nostr:nevent1qqsvtpafqg8da6qsdu0cxgjrq347g86pgla5nx8v07y34htd3etddlspz3mhxue69uhhyetvv9ujumn0wd68ytnzvupzqyyn2knkv3z4430ngpv2h6ksqnsavwxl9apdrmash0qjg67mhxv7qvzqqqqqqyp55aln 
 support child center
but decentralized budget 
 ถ้าเงินดี ผมว่าใครชอบอะไร อยากรู้เรื่องอะไร อยากเรียนกับใครก็เรียนไปเถอะ และนำความรู้มาสร้างงาน แล้วให้ตลาดตัดสิน ส่วนใครที่ยังไม่พร้อมด้านความรู้ก็เป็นลูกจ้างไปก่อน ทำงานๆ เก็บเงินได้ระดับนึงแล้วอยากทำอะไรก็แล้วแต่คุณเลย
 #siamstr

nostr:nevent1qqsvtpafqg8da6qsdu0cxgjrq347g86pgla5nx8v07y34htd3etddlspzdmhxue69uhhxeeww9jk6atjvyh8s7t6qgsppy645anyg4dvtu6qtz4745qyu8tr3he0gtg7lv9mcyjxhkaen8srqsqqqqqpywr625