การอำพรางความจริง: ระบบธนาคาร, กลไกการเสกเงิน และการสร้างฮีโร่ที่จำเป็น ========== ออกตัวไว้ก่อนว่าเป็นคนเขียนไม่ค่อยเก่งนะครับ อยากเขียนให้ดีขึ้น กระชับขึ้น เร็วขึ้นกว่านี้เหมือนกันครับ 😂 ผิดถูกอย่างไร แนะนำติชมกันได้ (ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ที่เขียนนี้ผมศึกษาเอาเองหมดเลย ถ้ามีตรงไหนที่ให้ข้อมูลผิดพลาดแจ้งได้เลยนะครับ กำลังเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เหมือนกัน) ที่จริงผมอยากจะเขียนบทความยาวเกี่ยวกับระบบธนาคารกลางกับการอำพรางความจริง โดยโยงเข้ากับดราม่าเรื่องเงินสดคือหนี้สินนะ (หลังจากไปวอร์กับชาวบ้านมาหลายคน 555+) แต่ยังมีเวลาไม่เยอะนัก เอาเป็นว่าถ้ามีเวลาอาจจะเขียนถึงนะครับ วันนี้ขอเขียนเกี่ยวกับระบบธนาคารกลางและกลไกการเสกเงินแล้วกันนะ ผมอยากจะชวนทุกคนลงไปดูว่าระบบธนาคารกลางที่แทรกแซงเศรษฐกิจร่วมกับรัฐบาลเป็นสิ่งจำเป็นและฮีโร่ของชาติอย่างที่คนเชื่อกันจริงหรือไม่ (โดยส่วนตัวผมมองว่ามัน Do more harm than good ครับ) ————— กลไกการเสกเงินโดยย่อ: ขอไม่เท้าความเยอะ เพราะคิดว่าหลายๆ คนในนี้น่าจะได้เห็นได้ฟังคนอธิบายผ่านๆ มาบ้างแล้วว่ากลไกการเสกเงินภายใต้ระบบ Fiat Money เป็นอย่างไร (Disclaimer: ผมไม่ได้เจตนาโจมตีธนาคารพาณิชย์และธนาคารกลางของบ้านเรานะครับ บทความนี้เราวิจารณ์คนออกแบบระบบหรือก็คือธนาคารกลางของอเมริกาล้วนๆ ประเทศอื่นๆ ทำอะไรแทบไม่ได้เลยนอกจากต้องเล่นตามเกมในระบบที่เค้าสร้างขึ้น) ผมขอสรุปแบบ Recap ให้รวบรัดที่สุดดังนี้: ภายใต้ระบบ Fiat เงิน (Money) ถูกสร้างขึ้นมาจากหนี้ เป็นเพียงการสัญญากันว่าแต่ละฝ่ายมีภาระผูกพันที่ต้องชำระคืนในอนาคตด้วยสิ่งที่ตกลงกัน การเสกเงิน = การปล่อยกู้ โดยผ่านธนาคารพาณิชย์ และธนาคารกลาง นั่นแปลว่า ทุกๆ ครั้งที่มีการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ หรือธนาคารกลางเป็นคนเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลโดยตรงหรือโดยอ้อม (คือไปกว้านซื้อพันธบัตรรัฐบาลจากธนาคารพาณิชย์มาถือเองอีกที) เงินจะถูกเสกเพิ่มขึ้นมาจากอากาศ โดยหนี้ที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของระบบนี้คือพันธบัตรรัฐบาล (Government Bond) เพราะมันเป็นทั้งสินทรัพย์แรกที่ถูกเสกขึ้นมาเพื่อนำมาให้ธนาคารกลางถือ (อาจพูดได้ว่าเงินถูกค้ำโดยพันธบัตรรัฐบาล) และมีบทบาทเป็นเครื่องมือในการ Manipulate อัตราดอกเบี้ยให้สูง/ต่ำตามที่ธนาคารกลางต้องการ ซึ่งโดยส่วนมากธนาคารกลางมักต้องการกดดอกเบี้ยให้ต่ำเพื่อจูงใจให้คนกู้ยืมจากธนาคารมากๆ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือจูงใจให้คนเป็นหนี้เพื่อเสกเงินเพิ่มจากอากาศไปเรื่อยๆ โดยเชื่อว่าการทำแบบนี้จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ————— ตั้งเป้าเงินเฟ้อ…อ้างเหตุผลเพื่อตั้งเป้าเสกเงิน: เราน่าจะเคยได้ยินคำกล่าวจากภาครัฐและนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักบ่อยๆ ว่าต้องทำให้เงินเฟ้ออ่อนๆ ถึงจะดีต่อเศรษฐกิจ ในที่นี้แปลไทยเป็นไทยอีกทีก็คือหมายความว่า เค้า ‘ตั้งเป้าว่าจะกระตุ้นการกู้ยืมเพื่อเสกเงินเพิ่มทีละน้อยๆ’ นั่นเอง เพื่อให้ทุกคนมีเงินอยู่ในมือ รู้สึกตัวเองร่ำรวยเพราะมีตัวเลขยอดเงินในบัญชีเพิ่มขึ้น และออกมาใช้จ่าย ปาเงินที่ถูกเสกขึ้นมาใหม่ใส่กันเพื่อแย่งกันซื้อสินค้าและบริการ (ซึ่งมีปริมาณเท่าเดิม) จนดันให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น ซึ่งก็คือเงินเฟ้อตามนิยามสมัยใหม่ (ปกติรัฐบาลมักจะอ้างตามหลักการเศรษฐศาสตร์ของสำนัก Keynesian ว่าต้องการทำให้เงินเฟ้อหน่อยๆ เพราะถ้าราคาไม่ขึ้นประชาชนจะไม่ยอมออกมาใช้จ่าย จะมัวรอให้ราคาสินค้าลง และธุรกิจจะอยู่ไม่ได้หากของราคาถูกลง ทำให้เจ๊งกันถ้วนหน้า ซึ่งเป็นตรรกะที่แทบไม่มีความจริงอยู่ในนั้นเลยครับ) ————— ภาวะการอยู่ร่วมกันของรัฐบาลและธนาคารกลาง: ถึงแม้ว่าโดยหลักการแล้วเค้ามักจะอ้างว่ารัฐบาลกับธนาคารเป็นอิสระต่อกัน แต่ผมมองว่าการมีอยู่ของทั้งสององค์กรนี้มันส่งเสริมกันเอง เป็นองค์ประกอบสำคัญของกันและกันในการค้ำจุนวาทกรรมว่าระบบเศรษฐกิจของประเทศจำเป็นต้องมีการควบคุมและเข้าแทรกแซงโดยภาครัฐ ลองพิจารณาเหตุผลต่อไปนี้ดู รัฐบาลออกพันธบัตร เพื่อมาใช้ค้ำสกุลเงินของประเทศ ซึ่งออกโดยธนาคารกลาง ธนาคารกลางใช้พันธบัตรเป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักในการควบคุมปริมาณเงินขึ้นลง รวมถึงเสกเงิน เป้าหมายของรัฐบาลกับธนาคารกลางไปในทางเดียวกัน คือการทำให้เศรษฐกิจโต แต่ทำบนกรอบแนวคิดที่ว่าต้องทำเงินให้เฟ้อ ต้องทำเงินให้เฟ้อ = ต้องเสกเงินให้เยอะขึ้น = ต้องจูงใจให้เกิดการกู้ยืมมากขึ้น = ธนาคารกลางต้องกดดอกเบี้ยให้ต่ำๆ เข้าไว้ แต่สภาพแวดล้อมที่ดอกเบี้ยต่ำยิ่งเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาล เพราะยิ่งกู้เงินผ่านการออกพันธบัตรได้ง่ายขึ้น เสกเงินมาใช้ได้ด้วยต้นทุนดอกเบี้ยต่ำๆ ทีนี้มันมีจุดที่ Tricky ตรงนี้ครับ เพื่อความเป็นอิสระต่อกัน และไม่ให้เกิดข้อครหาว่าธนาคารกลางพิมพ์เงินให้รัฐบาลใช้ฟรีๆ ธนาคารกลางเลยมักไม่เข้าซื้อพันธบัตรที่รัฐบาลออกตรงๆ ปล่อยให้รัฐบาลขายพันธบัตรให้กับธนาคารพาณิชย์และภาคเอกชนทั่วไปเอาเอง แต่เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี (ซึ่งก็อาจเกิดจากรัฐบาลกู้เงินไปใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายและไม่รับผิดชอบเท่าที่ควร เพราะกู้มาด้วยต้นทุนต่ำ) ธนาคารกลางก็อ้างความจำเป็นในการเข้าแทรกแซงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการเสกเงินเข้าระบบเพิ่ม เอาเงินที่เสกใหม่เข้ากว้านซื้อพันธบัตรเหล่านั้นอยู่ดี เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องและกดดอกเบี้ยให้ต่ำ แก้ปัญหาแบบวนลูป เป็นการตามเช็ดขี้ให้รัฐบาลด้วยการทำลายอำนาจซื้อของประชาชนที่อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบ ในทางกลับกัน หากปัญหาเศรษฐกิจเกิดมาจากธนาคารกลางเสียเอง (เช่น กดดอกเบี้ยต่ำผิดธรรมชาตินานเกินไป จนภาคเอกชนตัดสินใจลงทุนผิดพลาด (Malinvestment) เอาเงินไปลงในสิ่งที่ไม่สำคัญและไม่ควรลง) และการแก้ไขผ่านนโยบายการเงินของธนาคารกลางเห็นผลช้าไม่ทันการหรือไม่เพียงพอ รัฐบาลก็จะอ้างความจำเป็นในการเข้าแทรกแซงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการกู้เงินมาลงทุนสร้างเมกะโปรเจ็กต์เพื่อสร้างงาน การใช้งบประมาณขาดดุล การแจกเงินหรือสวัสดิการ ฯลฯ เป็นการตามเช็ดขี้ธนาคารกลางที่บิดเบือนดอกเบี้ยจนภาคเอกชนตัดสินใจลงทุนผิดพลาด มันดูเผินๆ เหมือนจะสมเหตุสมผลนะครับ ที่มี 2 องค์กรคอยเป็นเครื่องมือช่วย Balance และแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ขาดมือใครไปไม่ได้ เป็นฮีโร่ที่สังคมจำเป็นต้องมี แต่ถ้าเกิดเรามองมุมกลับว่าปัญหาเศรษฐกิจใหญ่ๆ ทั้งหลายมันเกิดมาจาก 2 องค์กรนี้เสียเองล่ะ?! มันจะแปลว่าจริงๆ แล้วเราอาจไม่จำเป็นต้องให้ธนาคารกลางและรัฐบาลคอยเข้ามาแทรกแซงเศรษฐกิจตั้งแต่แรกเลยก็ได้ ————— ตัวอย่างคำกล่าวอ้างแสนคลาสสิก: ผมขอยกตัวอย่างเหตุการณ์และ Narrative ที่เราเห็นจนชินตานะครับ พอธนาคารกลางกระตุ้นการเสกเงินเยอะเกินไป บิดเบือนอัตราดอกเบี้ยเยอะๆ จนเกิดการจัดสรรทรัพยากรผิดพลาด เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นมา ก็ค่อยออกมาเพิ่มดอกเบี้ยเงินกู้ให้สูงๆ เพื่อชะลอการกู้ยืมเพิ่ม เบรคคันเร่งซึ่งตัวเองเป็นผู้เหยียบแรงเกินมาอย่างยาวนานจนแหกโค้ง ฆ่าคนที่เคยถูกหลอกให้กู้มาลงทุนด้วยดอกเบี้ยต่ำให้ตายคามือ โดยบอกว่าพวกเราจำเป็นต้องทำนะ เพื่อช่วยเศรษฐกิจของประเทศเอาไว้ จำเป็นต้องมีคนเสียสละ เราจะพยายาม Soft Landing พาทุกคนฝ่าวิกฤตนี้ไปอย่างนุ่มนวลที่สุด และหากมองว่าลำพังการควบคุมอัตราดอกเบี้ยมันช้าและไม่เพียงพอต่อการกู้วิกฤต ก็จะให้รัฐบาลเข้ามาช่วยลงทุนสร้างโครงการใหญ่ๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจ้างงาน ให้ทุกคนยังรู้สึกว่ามีเงินหมุนเวียนเข้าออกจากกระเป๋า ยังมีงานทำ ชีวิตยังดำเนินต่อไปได้ นี่เป็นภาพจำปกติที่เราเห็น (หรือเค้าปลูกฝังให้เราเห็น) ว่าธนาคารกลางและรัฐบาลคือสิ่งที่จำเป็นต่อความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ และเป็นฮีโร่ผู้กอบกู้ แต่ผมอยากชวนคิดย้อนกลับกันซักนิดนะครับ ว่าถ้าหากเราไม่มีธนาคารกลางและรัฐบาลคอยแทรกแซงดอกเบี้ยและการจัดสรรทรัพยากร... เราอาจไม่เกิดวิกฤตรุนแรงแบบนั้นตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ Milton Friedman นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลเคยแซวธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ไว้ว่า จากการที่เค้าต้องอ่านรายงานประจำปีของ Fed 50 กว่าฉบับ สิ่งเดียวที่ช่วยสร้างความขำขันให้เค้าได้ คือการเขียนแต่ละครั้งช่างดู Fed มีอำนาจแกว่งเหลือเกิน เวลาเศรษฐกิจดี Fed จะบอกว่าเป็นเพราะนโยบายและการบริหารที่ชาญฉลาดของพวกเรา แต่เวลาเศรษฐกิจแย่ Fed จะบอกว่า แม้พวกเราจะพยายามอย่างดีที่สุด แต่เป็นเพราะผลพวงจากปัจจัยภายนอกต่างๆ จึงทำให้สถานการณ์ยากลำบาก และหากเราไม่ช่วยไว้ปัญหาคงรุนแรงกว่านี้ไปแล้ว (เดี๋ยวแปะ Link ให้นะ) …นั่นแหละครับ ธรรมชาติของมนุษย์เราชอบคิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองและโน้มน้าวให้คนอื่นคล้อยตามเสมอ ทุกสิ่งที่เราเคยได้ยินมา ที่ได้รับการบอกต่อๆ กันมาเชื่อถือได้แค่ไหน ธนาคารกลางจำเป็นจริงๆ หรือ? รัฐบาลควรมีบทบาทเป็นผู้เล่นในเกมเศรษฐกิจขนาดไหน? กลไกนี้คือฮีโร่ที่จำเป็น หรือผู้ร้ายใส่หน้ากาก หรือเป็นแค่ระบบทางเลือกหนึ่ง ผมอยากชวนทุกคนตั้งคำถามนะครับ ปล. กะเขียนสั้นๆ แต่ยาวเฉยเลย 🤣
🥰😍🤤
คนคลั่งรัก 555
ทำไมการโพสว่าคนอื่นโดนหลอกถึงสร้...
แบบนี้เลย 55555 โดนถล่ม โดยเฉพาะพอเป็นเรื่องเกี่ยวกับระบบการเงินและเศรษฐศาสตร์ 🤪 https://image.nostr.build/14ea81f45be27ae40ab4941522d7cdaf78f7d644a2b1dacb6d0d5e002a45ad32.jpg
*โพสต์นี้เป็นฉบับสมบูรณ์จากในเฟซ* *...
ระเบิดฟอร์มแล้วครับ 555
Since this meme was just made illegal in California, I feel it would be an injustice not to post ...
อย่างเหี้ย 555555555
ลองให้เพื่อนสอนโอนบิตคอยน์เข้า on chain ครั้งแรกครับ 😂 #siamstr https://image.nostr.build/a819b0569d4651e502849df69dd61481e6fecf4c493dc1ed0269c288e260bb7f.jpg
ทดสอบโพสต์เนื้อหาแบบแนบ link เป็นครั้งแรกนะครับ สืบเนื่องจากโพสต์ของ ดร. ท่านหนึ่ง (รายละเอียดตามแนบ: https://www.facebook.com/share/p/b8F1R165MHgpeJ6H/?) ผมมีความเห็นต่อสิ่งที่เค้าโพสต์ดังนี้ครับ "เงินสดเป็น asset-backed money" <-- ครับ มันแบ็คด้วยหนี้ของรัฐบาลซึ่งก็คือพันธบัตรไงครับ "เงินสดออกเพิ่มเองไม่ได้" <-- สาบานได้นะครับว่ามนุษยชาติไม่มีปัญญาพิมพ์กระดาษออกมา และมันทำได้ยากกว่าไปขุดหาทองคำ ดังนั้นมันเชื่อถือได้เทียบเท่าทองคำแน่ๆ พวกคุณจะไม่มีวันซูเอี๋ยกัน? "การหมุนของเงินในระบบที่ทำให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจเติบโตขึ้น…" + "ใครลองออกเงินสดดูค่ะ ไม่ว่าอยู่ในประเทศไหนก็คุก" <-- แปลว่ายอมรับแล้วใช่มั้ยครับว่าพวกคุณต้องการสงวนสิทธิ์ในการแอบเสกเงินเข้าระบบเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว เพราะคุณมองว่าประชาชนมันเป็นควาย ถ้าปล่อยให้มันแอบพิมพ์แบงค์ปลอมมาใช้ *แม้ในทางเทคนิคมันจะกระตุ้น ศก. ได้เหมือนกัน* แต่ประชาชนมันโง่ เห็นแก่ตัว มันจะแอบพิมพ์แบงค์ปลอมจนล้นตลาดและเกิด hyperinflation ในที่สุด ไม่เหมือนพวกฉันที่เป็นคนดีมีศีลธรรมและความรู้ พวกฉันรู้ลิมิต ไม่มือเติบ ดังนั้นพวก technocrat อย่างฉันควรจะเป็นคนเพียงกลุ่มเดียวที่มีสิทธิ์ในการพิจารณาว่าจะกระตุ้น ศก. ด้วยการเสกเงินเข้าระบบเพื่อหลอกคนให้ออกมาจับจ่ายใช้สอยเท่าไหร่ดี นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องความแฟร์เลยนะครับ ประชาชนจะเก็บเงินไว้เฉยๆ หรือเอาออกมาซื้ออะไร มันเป็นเรื่องของประชาชนครับ รัฐบาลไม่ควรยุ่ง ไม่ควรมาตัดสินใจลงโทษคนที่รู้จักเก็บออมด้วยการทำให้เงินของเค้าเสื่อมค่าลง อ้อ แต่ขอโทษครับ ลืมไป ผมไม่เคยเห็น technocrat พวกนี้พูดถึงความแฟร์ในสิทธิในการเก็บรักษา private property อยู่แล้ว!!! 😡
มีคนบอกให้ลองโพสต์ 555 #siamstr
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ
#siamstr สวัสดีครับ
สวัสดีครับ ยังเล่นไม่ค่อยเป็น อาจจะไม่ค่อยได้โพสต์ หรือโพสต์อะไรแบบอ๊องๆ หน่อยนะครับ ฮรือออ 😂
สวัสดีครับ 🤩
Notes by Sirat | export