Oddbean new post about | logout
 GE ครับ เมื่อกลางวันมีเวลานั่งทบทวนหาข้อมูลคุยกับตัวเองตามสภาพปัญญาที่มีอันน้อยนิด ก็ได้ความเข้าใจเพิ่มเติม ของตอนถัดไปที่ดราฟไว้ เพราะต้องทำความเข้าใจรายละเอียดของแต่ละอาการๆ ว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง อย่างที่รู้กันว่า ข้อความในบาลีนั้น พระพุทธเจ้าแก ไม่ได้พูดขึ้นมาทีเดียวทั้งหมด แต่ละบาลีก็ ต่างเหตุการณ์ สถานที่ บุคคลกันไป นี่ขนาดว่าพุทธทาสแกรวบรวมแบ่งหมวดๆ เรื่องนี้ให้ง่ายแล้ว แต่มันก็ยังมีรายละเอียดในหมวดนั้นๆ ลงไปอีก ฝันดีนอนหลับอย่างมีคุณภาพครับ
ตอนที่ 7  คำชี้แจงเกี่ยวกับการศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาท
              ถ้าพูดถึงหัวใจของพุทธศาสนาคนส่วนมากนึกถึงอริยสัจ 4  ขอให้เข้าใจว่าปฏิจจสมุปบาทนี้คืออริยสัจ 4 ที่สมบูรณ์แบบคือว่าเต็มขนาดจึงขอเรียกว่าอริยสัจใหญ่ซึ่งจะได้อธิบายกันต่อไป
สิ่งที่ควรทราบไว้ต่อไปคือปฏิจจสมุปบาทนั้นมันมีอยู่ในคนเราแทบจะตลอดเวลา แล้วเราก็ไม่รู้จัก อย่างนี้เรียกว่าเป็นความผิดของเรา ไม่ใช่ความผิดของธรรมะเราไม่สนใจ เราจึงไม่รู้จักสิ่งที่มีอยู่ในตัวเราแทบตลอดเวลา แล้วจะพูดให้ฟังว่ามันมีอยู่ในคนเราแทบตลอดเวลาอย่างไร
                เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถ้าผู้ใดเข้าใจแล้วก็อาจจะปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ของตนได้ และเมื่อมองกันอีกทางหนึ่งเราถือว่าเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำกันทุกคน และช่วยทำกันและกัน ให้เข้าใจเรื่องนี้ให้ได้ ไม่ใช่แค่ตนเองแต่มันยังเป็นหน้าที่ที่ต้องช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจด้วย ข้อนี้เป็นพุทธประสงค์และเมื่อเราทำได้ดังนี้แล้วการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ก็จะไม่เป็นหมัน
ทีนี้จะขยายความให้ชัดยิ่งขึ้นไปโดยจะตั้งหัวข้อว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้คือเรื่องอะไร เหตุใดจึงต้องมีเรื่องนี้	รู้ปฏิจจสมุปบาทเพื่ออะไร และจะมีการดับได้โดยวิธีใด

1.ถ้าถามว่าปฏิจจสมุปบาทคืออะไรคำตอบคือการแสดงให้ทราบว่า ทุกข์เกิดขึ้นมาอย่างไร และจะดับลงอย่างไรโดยละเอียด และแสดงให้ทราบว่าการที่ทุกข์เกิดขึ้นและดับไปนั้นมีลักษณะเป็นธรรมชาติที่อาศัยกันและกัน ไม่ต้องมีเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรืออะไรที่ไหนมาช่วยทำให้ความทุกข์เกิด ทำให้ความทุกข์ดับ มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกี่ยวเนื่องกันอยู่หลายๆชั้นและอาศัยกันแล้วทำให้ความทุกข์เกิดขึ้นหรือจะทำให้ความทุกข์ดับไปก็ตาม คำว่าปฏิจจะแปลว่า อาศัย คำว่าสมุปบาทแปลว่า เกิดขึ้นพร้อมกัน
	อีกส่วนหนึ่งเป็นการแสดงให้รู้ว่าไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน  เราเขา อยู่ที่นี่ หรือว่าจะเวียนว่ายต่อไป เป็นเพียงธรรมชาติล้วนๆ ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ถ้าเข้าใจเรื่องนี้  จะเข้าใจว่าตัวกูนี้ไม่มี เมื่อคนไม่รู้เรื่องนี้ก็ปล่อยไปตามความรู้สึกนึกคิดตามธรรมดา ซึ่งมีอวิชชาครอบงำแล้ว มันรู้สึกว่า มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา นี่คือความมุ่งหมายของเรื่องนี้
	แต่ความสำคัญก็คือว่าแสดงให้รู้ว่าทุกข์เกิดและดับอย่างไรเป็นการอาศัยซึ่งกันและกันเกิดและดับและว่าอาการอย่างนั้นทั้งหมดนั้นก็ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคลไม่ใช่ตัวตนเราเขา ที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือว่า การที่มันอาศัยกัน เกิดขึ้นและดับลงนี้ มันรุนแรงแบบสายฟ้าแลบ (ถ้าใครตามทันรบกวนพิสูจน์ความเร็วกับ Lightning ด้วยนะครับ) ขอให้ทุกคนสังเกตดูให้ดีว่าความนึกคิดของเราที่เกิดขึ้นมานี้มันรวดเร็วรุนแรง ตัวอย่างเช่นเมื่อโกรธ มันก็เกิดขึ้นมารวดเร็วเหมือนกัน นี่เรียกว่าพฤติกรรมของจิตที่เกิดขึ้นรวดเร็วรุนแรงเหมือนสายฟ้าแลบ ที่เป็นไปเพื่อความทุกข์ในชีวิตประจำวันของคนเรานั่นเอง นี่แหละคือเรื่องของปฏิจจสมุปบาทโดยตรง ถ้ามองเห็นจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าหวาดเสียว เป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด  นี่ถ้าถามว่า ปฏิจจสมุปบาทคืออะไรยังเป็นภาษาธรรมดาสามัญ ก็ต้องตอบว่า คือพฤติกรรมของจิตที่เกิดขึ้นเป็นไปเพื่อทุกข์  แล้วก็รวดเร็วรุนแรง มีอยู่ในชีวิตประจำวันของคนเรา นี่แหละคือตัวปฏิจจสมุปบาท

2. เพราะเหตุใดจึงต้องมีเรื่องปฏิจจสมุปบาท เพื่อการศึกษาและปฏิบัติ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครรู้เรื่องนี้แถมยังกำลังเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดของคนทั่วๆไปก็เหมือนความเห็นผิดของภิกษุสาติเกวัฏฏบุตร (ชื่อนี้กล่าวถึงในตอนที่ 2) โดยเขามีความเห็นผิดที่ถือและยืนยันว่า วิญญาณนี้เท่านั้นที่แล่นไป ที่ท่องเที่ยวไป ไม่มีสิ่งอื่น ถือว่าวิญญาณนั้นเป็นสัตว์หรือบุคคล ตัวยืนโรงสำหรับแล่นไปในวัฏสงสาร เช่นนี้ ก็เพราะไม่ทราบความจริงเรื่องปฏิจจสมุปบาท จึงได้เกิดทิฐิเป็นมิจฉาทิฏฐิขึ้นมาอย่างนี้ ภิกษุทั้งหลายพยายามที่จะให้เขาสละทิฐิเสีย แต่เขาก็ไม่สละ จึงพากันไปบอกพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เลยได้เรียกตัวไปสอบถามว่ามีทิฐิอย่างนั้นจริงไหม ภิกษุรูปนี้ก็บอกว่ามีทิฐิอย่างนั้นจริงๆ ที่นี้พระพุทธเจ้าก็เลยถามว่าอะไรเป็นวิญญาณของเธอ เขาตอบว่าสิ่งใดที่มันพูดได้หรือมันรู้สึกอะไรได้แล้วมันเสวยวิบากของกรรมทั้งหลายทั้งที่เป็นกรรมดีและกรรมชั่วนั่นแหละคือวิญญาณ
นี่ก็เป็นมิจฉาทิฐิหนักยิ่งขึ้นไปอีก ตัววิญญาณ คือสิ่งที่ทำให้พูดได้  เสวยผลกรรมต่อไปข้างหน้า คนธรรมดาฟังไม่ถูกว่า ทำไมการถืออย่างนี้จึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะใครๆก็เชื่อว่าวิญญาณมีอยู่ แล้ววิญญาณอย่างนั้นอย่างนั้น คนธรรมดาพูดกันเสียจนชิน เลยไม่รู้ว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ 
	คำพูดเช่นนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิเพราะยืนยันว่าวิญญาณเป็นของเที่ยง เป็นของที่มีอยู่ ในตัวมันเอง ไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ที่แท้วิญญาณเป็นเพียง ปฏิจจสมุปปันนธรรม หมายความว่าไม่มีตัวตนเพียงแต่ว่าอาศัยเหตุปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นสืบต่อกันไปชั่วคราวๆ เท่านั้น ซึ่งตามนัยแห่งปฏิจจสมุปบาท แสดงให้เห็นว่าตัวตนไม่มี 
	ที่นี้ภิกษุก็ยังยืนยันว่ามีตัวตนหรือยืนยันว่าวิญญาณนี้เป็นตัวตนคือมันแล่นไป  หรือว่าอยู่ที่นี่ เขาก็พูดว่า เป็นผู้พูด เป็นผู้รู้สึกอารมณ์ต่างๆ แล้วเป็นผู้เสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย ที่เป็นกุศลเป็นอกุศล คือว่ามีตัวตน มีตัวเรา ที่เป็นอย่างนั้น แล้วเรียกมันว่าวิญญาณ นี้เพราะเหตุว่าคนทั้งหลายมีทิฐิอย่างนี้กันอยู่ทั่วไป โดยไม่รู้ว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ เราจึงต้องมีเรื่องปฏิจจสมุปบาท เพื่อบอกให้รู้ความจริงว่าถ้าว่าวิญญาณมี มันก็คือธรรมชาติที่อาศัยกันเกิดขึ้นทยอยกันไปเท่านั้นเอง ไม่เป็นตัวเป็นตนอะไรที่ไหน เหตุนี้จึงต้องรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท

3. รู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทเพื่ออะไร ก็เพื่อพ้นจากมิจฉาทิฏฐิที่ว่าคนมีอยู่แล้วไปเกิด แล้วคนเป็นไปตามกรรมเหล่านี้ แล้วก็เพื่อจะดับทุกข์สิ้นเชิง คือมีสัมมาทิฏฐิขึ้นมา ถ้ายังหลงเป็นมิจฉาทิฏฐิมันก็มีความทุกข์และดับทุกข์ไม่ได้ ฉะนั้นจึงต้องรู้เรื่องวิญญาณที่แท้จริงว่าเป็นอะไร จึงจะดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง ข้อนี้มีคำบาลีสั้นๆว่าวิญญาณคือสิ่งที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้นถ้าปราศจากปัจจัยปัจจัยเหล่านั้นแล้วการเกิดขึ้นแห่งวิญญาณมีไม่ได้
            ถ้าวิญญาณมีตัวตนจริงมันก็ควรมีได้โดยตัวมันเอง โดยไม่ต้องอาศัยปัจจัยอะไร เดี๋ยวนี้ตัวมันเองไม่ได้มี มีแต่ปัจจัยที่ปรุงแต่งกันขึ้น แต่มันปราณีตลึกลับถึงกับทำให้รู้สึกคิดนึกได้ ให้นามรูปนี้ ทำอะไรได้ พูดจาได้ อะไรได้ต่างๆก็เลยเข้าใจผิดไปในตัวมันเอง ว่ามีอะไรอันหนึ่งเป็นตัวเป็นตนอยู่ในนามรูปนี้ซึ่งในที่นี้เรียกกันว่าวิญญาณ ปฏิจจสมุปบาทนี้มีเพื่อประโยชน์อันนี้เองให้ละมิจฉาทิฐิเสียแล้วจะได้ดับความทุกข์สิ้นเชิงได้

4. ที่นี้ปัญหาต่อไปก็มีว่าจะดับทุกข์ได้โดยวิธีใด ทำอย่างไร คำตอบก็เหมือนที่แล้วมาในหลักทั่วๆไปว่า จะมีได้โดยการปฏิบัติที่ถูกต้อง คือการมีชีวิตอยู่อย่างถูกต้อง หรือการเป็นอยู่ที่ชอบ ความเป็นอยู่ที่ชอบนั้น คือการเป็นอยู่ที่สามารถทำลายอวิชชาเสียได้ด้วยวิชา คือการเป็นอยู่ที่ทำลายความโง่เสียได้ด้วยความรู้ หรือถ้าจะสรุปความอีกทีนึงก็เป็นการสรุปว่าคือการมีสติอยู่ตลอดเวลา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีสติเมื่อมีอารมณ์มากระทบ นี่ขอให้เข้าใจคำว่า เป็นอยู่โดยชอบ คือเป็นอยู่โดยมีสติสมบูรณ์อยู่ทุกเวลา เมื่อเป็นอยู่อย่างนี้ความโง่เกิดไม่ได้อวิชชาเกิดไม่ได้ สามารถขจัดอวิชชาออกไปเสียดาย มันเหลืออยู่แต่วิชาหรือความรู้นี่แหละคือความเป็นอยู่ชอบ ชนิดที่ความทุกข์เกิดไม่ได้ 

        สรุปปฏิจจสมุปบาทคือการแสดงให้รู้เรื่องความทุกข์ที่เกิดขึ้นในรูปแบบสายฟ้าแลบในจิตใจของคนเราเป็นประจำวัน เหตุที่ต้องรู้เรื่องนี้ก็เพราะว่าคนมันกำลังโง่ไม่รู้เรื่องนี้ รู้เพื่อประโยชน์เพื่อให้รู้ถูกต้องและให้ดับทุกข์เสียได้ แต่ดับทุกข์ได้โดยวิธีปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของปฏิจจสมุปบาท คืออย่าให้กระแสปฏิจจสมุปบาทมันเกิดขึ้นมาได้เพราะว่ามีสติรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา   เรื่องมันสัมพันธ์กันอยู่อย่างนี้รวมกันก็เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท 
#siamstr #ปฏิจจสมุปบาท #พ่อออกค้ำ