คืองานวิจัยในศาสตร์อื่นเช่นงานวิศวะผมไม่รู้หรอกว่าระเบียบเป็นไง การ peer review, verify, validate ดุดันไม่เกรงใจใครขนาดไหน จริงๆในวงการอาหารก็ด้วย แต่วงการยาน่ะ การวิจัยแต่ละครั้งไม่ใช่ถูกๆ แค่จะเจาะดูยาในเลือดคน 20 กว่าคนยังต้องมีหลายล้าน ดังนั้นการจะทำ phase 3, 4 หรือ extrapolation of postmarketing surveillance ค่าใช้จ่ายมันก็โคตรมโหฬาร คนในวงการแพทย์ก็คงเข้าใจเรื่องนี้กันดีแหละ
ถ้าพยายามจะหาความ decentralize ของงานวิจัย เอาจริงๆมันก็มีแหละ ทุกวันนี้ก็มีคนทำกระเป๋าบิตคอยตัวเองมูลค่าเป็นล้านๆหายอยู่เรื่อยๆเหมือนกัน มันก็มีคนที่อยากวิจัย for the sake of วิจัย อยู่เหมือนกัน แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า พวก decentralized มันคุม mainstream narrative ไหวมั้ยล่ะ
แค่เปเปอร์ IF ที่เกบข้อมูลมาตั้งแต่สมัยที่ไม่มีใครเสิจ IF ใน google เลย พวกก็กลายเป็นไปให้ค่า มาบอกว่า จาก paper นี้แสดงให้เห็นว่า IF มีข้อเสีย
(เคร จริงๆมันมีข้อเสีย/ข้อควรระวัง แต่มันไม่ควรไปให้เครดิตว่า paper โง่ๆนั่นเป็นคนเจอไง)
คือเขาออก paper ที่ flaw ขนาดไหน ก็สามารถได้พื้นที่สื่อแล้วฝัง narrative ให้ mainstream ได้สำเร็จ (ในที่นี้ : ก็คือ anti เกลือ) แม้จะแค่ 1% แต่แม่งก็คือได้ผล ev+ แบบ cost effective ไง ในขณะที่ลองสาย anti-mainstream narrative ค้นพบอะไรสิ โดน silence หมดแหละ 555555555