ผมมารู้ความหมายของคำว่า"ทุกวินาทีมีค่า"ตอนที่คนที่ผมรักเกือบลาโลกใบนี้ไป
วันนั้นตื่นเช้าขึ้นมาเหตุการณ์ก็ปกติทุกอย่าง ทุกคนภายในบ้านก็ทักทายกันตาม
ปกติ มันจะมีพิเศษหน่อยก็ตรงที่วัดข้างบ้านเขาจัดงานประเพณี ยายผมซึ่งเป็น
สายบุญแกจะพลาดไปได้ยังไง แกก็เตรียมชุดแต่งหน้าทาปากอะไรเสร็จสรรพ
แต่พอแกเดินไปถึงตรงหน้าประตูบ้าน แกกลับมาเปลี่ยนชุดเป็นชุดปกติ แล้วก็
เข้าไปนอนพักที่เตียงแก ผมก็สงสัยว่ายายกลับมาทำไม ผมก็ถามไปว่าอ้าวตอน
เช้าเห็นยายบอกว่าจะไปวัด จะเข้าไปทำบุญกับเขาไม่ใช่หรอ ยายผมก็ตอบกลับ
มาว่า ยายรู้สึกเหมือนปวดหัวนิดๆ คิดว่าน่าจะไม่ไปทำบุญแล้ว ขอกลับมานอน
พักดีกว่า ตอนที่ยายกลับมานอนพักพ่อผมก็กำลังออกไปทำสวนของแกพอดี ใน
บ้านก็เหลือ ยาย แม่ แล้วก็ผม พอเวลาผ่านไปสักพัก แม่ก็เรียกผมไปถอนผมขาว
ให้แก พอถอนจนแกพอใจ ผมก็ไปทำอะไรเรื่อยเปื่อย ดู youtube อะไรตาม
ประสาผม พอผมดูไปสักพัก แม่ก็ส่งเสียงดังทะลุหูฟังที่ผมใส่ บอกว่ายายเป็นอะไร
ก็ไม่รู้ เหงื่อเต็มตัว แล้วก็พูดเหมือนคนละเมอ ผมก็สงสัย ผมก็เลยเข้าไปดู ผมก็งง
ไปพักหนึ่งว่าเป็นอะไร แม่ผมก็นึกว่า ผีอาจจะเข้ายาย ผมบอกกับแม่ว่าไม่ใช่มั้ง
วินาทีนั้นแม่กับผมต่างคนก็ต่างกลัว ทำอะไรก็ไม่ถูก อีกสักพักยายก็ควบคุมตัว
เองไม่ได้ก็เลยฉี่รดที่นอน ตอนนั้นแม่ผมก็ใจเสียแล้ว อาการของยายก็หนักขึ้น
เรื่อยๆ เหมือนไม่ตอบสนองอะไรแล้ว แม่ก็ลองไปเปิดแอร์แล้วพัดให้ยาย ส่วนผม
ก็ตัดสินใจโทรเรียกรถโรงพยาบาลเลย เบอร์ 1669 พอโทรติด น่าจะเป็นเบอร์
ของที่รับแจ้งเหตุส่วนกลาง ไม่ใช่เบอร์ของโรงพยาบาลโดยตรง เขารับแจ้งเหตุ
เสร็จ เขาอาจจะไปบอกกับโรงพยาบาลให้มารับอีกที พอโทรติด เขาก็ถามว่า
อยู่ที่ไหน ใครเป็นอะไร ผมก็บอกว่า ยายผมเป็นอะไรก็ไม่รู้ ผมไม่เคยเจอ เขาก็
ถามอาการต่างๆ อย่างใจเย็น (ตอนนั้น ผมคิดในใจจะถามอะไรนักหนา แค่ส่ง
รถโรงพยาบาลมารับก็พอ ยายอาการจะแย่อยู่แล้ว) วินาทีนั้นแหละแม้มันจะ
เป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่ทำให้ผมเอ๊ะแรกแล้วว่า เวลาเรากำลังจะเสียคนที่เรารัก
ไป เราก็อยากได้รับการช่วยเหลือที่ไวที่สุดเพราะแม้วินาทีเดียวก็อาจจะมีผลต่อ
คนที่เรารักได้ พอคุยกับเจ้าหน้าที่ที่รับสายเสร็จ ผมว่าเขาก็คงไม่รู้เรื่อง เพราะ
ผมเองเนี่ยแหละที่ไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรกับเขาได้เลย เนื่องจากผมก็ไม่เคย
เห็นยายเป็นแบบนี้ ผมก็เลยไม่สามารถอธิบายกับเขาได้ ผมเข้าใจเจตนาเขานะ
ที่เขาถามเยอะๆเพราะเขาจะได้ส่งทีมที่จะช่วยเหลือมาได้ตรงกับสถาณการณ์
ที่เกิดขึ้น อีกสักพักโรงพยาบาลก็โทรมาถามว่าบ้านอยู่แถวไหน ผมก็บอกไป
เขาก็บอกไม่แน่ใจว่าจะใช่ที่ที่เขาเคยไปไหม ผมก็เลยอธิบายเพิ่มเติม
จบประโยคด้วยการ งั้นเดี๋ยวผมจะยืนอยู่หน้าบ้านรอ ส่วนแม่ผมก็กลัวว่ารถ
โรงพยาบาลจะมาช้า เลยอยากให้ผมไปยกยายแล้วเดี๋ยวแม่จะขับรถไปโรง
พยาบาลเอง พอผมลองยกยาย ผมยกไม่ขึ้น เพราะยายทิ้งตัวหมดเลย ผมก็บอก
กับแม่ว่ายกไม่ไหว งั้นรอรถโรงพยาบาลดีกว่า แม่ก็อยู่เฝ้ายายพยายามประคอง
สติยาย ผมก็ไปรออยู่หน้าบ้าน ช่วงเวลานั้นประมาณ 4-5 นาที กว่ารถจะมาถึง
(ช่วงเวลานั้น มันเหมือนนานมากเลย ได้แต่คิดในใจ เมื่อไหร่รถจะมา เมื่อไหร่รถ
จะมา) มันเกิดเอ๊ะที่สองเกิดขึ้น ถ้าเขาช่วยยายไม่ได้แหละ จะทำยังไง ผมก็คิดไป
ต่างๆนาๆ เรายังไม่ได้ดูแลแกเต็มที่เลย แกจะไปแล้วจริงๆหรอ ผมอ้อนวอนให้รถ
โรงพยาบาลมาให้เร็วที่สุด พอได้ยินเสียงรถโรงพยาบาลมาไกลๆ ผมก็ใจชื้นขึ้น
มาหน่อย เสียงมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนผมเห็นรถโรงพยาบาล(ตอนนั้นผมเหมือน
เจอกับอะไรก็ไม่รู้ แต่ผมดีใจมากๆ) พอรถโรงพยาบาลมาถึง พยาบาลก็เช็ค
อาการต่างๆ ปรากฏว่ายายน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้เกิดอาการช็อค พวกพยาบาล
ก็ช่วยยายด้วยการเติมน้ำตาลเข้าไปในเลือด แล้วก็พายายไปโรงพยาบาล พออยู่
ในการดูแลของหมอและพยาบาล ยายก็อาการดีขึ้นตามลำดับ สักพักก็หายเป็น
ปกติ เหตุการณ์นี้ทำให้ผมคิดได้ว่า วันและเวลาที่เราสามารถอยู่กับคนที่เรารัก
นั้นมีค่า ควรใช้เวลากับเขาให้คุ้มค่าที่สุด เพราะเราไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า
เรากับเขาจะจากกันไปตอนไหนเวลาใด ดังนั้นจงใช้ชีวิตกับคนที่เรารักในทุกๆวัน
เหมือนกับว่า วันพรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้าย ขอบคุณครับ #Siamstr
ขอบคุณแรงบันดาลใจจากพี่ตั้มในการฝึกเขียนบทความครับผม nostr:npub1mqcwu7muxz3kfvfyfdme47a579t8x0lm3jrjx5yxuf4sknnpe43q7rnz85
https://image.nostr.build/b3cb2c185674b5f760bda1ba1f9992037b8cce89b4e2b8e8162099ac2b269ded.jpg