Oddbean new post about | logout
 
#siamstr 

เครดิต: FB วิศวกรสอนลงทุน

บทความต่อ อันนี้กาวล้วน ไม่มีทินเนอร์ปน

US กับ China ยังไงก็ตีกันแน่ เพราะเห็นต่างกันมา อีกคนหนึ่งเป็นลูกหนี้ แต่ทำเจ้าหนี้แทบสิ้นชาติสิ้นเศรษฐกิจได้ ... เอากระดาษไปแลกของเพื่อน ไม่พอ Dilute กระดาษนั้นเองมีผ่านนโยบาย Budget Deficit (ใช้มากกว่าหา หาไม่ทันก็กู้มาจ่ายจนดอกเบี้ยแต่ละปีอยู่แถวๆ $1Trillion)... เหลี่ยมทุกดอกแล้วบอกเพื่อนกัน

China บอกไม่ไหว กระดาษของลื้อไม่น่าจะรอดใน Long Run เพราะผู้คิดค้นนโยบายเงินกระดาษบอกเองว่า In the long run we all die ดังนั้นกู้ไปบริโภคแหละ เพื่อให้เศรษฐกิจปัจจุบันมันผ่านไปให้ได้ หมุนไปก่อน ... เลยพยายามลดการพึ่งพิงเศรษฐกิจไปยัง US มากขึ้น ... วางโครงการเศรษฐกิจใหม่ BRI เดินทางทั้งบกน้ำอากาศไปยัง Europe, Africa, India, Asian และ US ไม่ได้อยู่แผนเศรษฐกิจนี้ (จะอยู่ได้ไง มันมีมหาสมุทรคั่นกลาง 555+) ... และร่วมมือกับคู่แข่งเก่า US อย่าง Russia ในการจัดตั้งกลุ่มการเงินใหม่อย่าง BRICS เพื่อเอามาแข่งกันกับกลุ่มเดิมอย่าง IMF/World Bank ที่ตั้งมาตั้งแต่ยุคหลัง WW2 ... พยายามจะลดการใช้เงิน Dollar กันสุดๆ สร้าง Bilateral Trade ใช้เงิน 2 สกุล ไม่ผ่าน Dollar ก็ทำกันมาแล้ว (แต่ยังเป็นส่วนน้อยมากๆ เพราะใครมาร่วมกันกับ BRICS มักจะโดนพี่ใหญ่อย่าง US เล่นงานเสมอไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แบบชอบธรรม)

ตรงนี้ที่ US ก็ยอมไม่ได้ ปล่อย China เป็นโรงงานให้ทั้งโลกมานาน หลายๆบริษัทของเมกาก็ไปตั้งโรงงานในจีน เลยพยายามกีดกันทุกทาง ผ่านนโยบายต่างๆ Tech/Trade war กำแพงภาษี Blacklists จับคนสำคัญของบริษัทเขา ยัดข้อหาต่างๆเข้าไป ... บอกเพื่อนๆ Japan, S. Korea, EU, Australia ว่า อย่าไปคบค้ากับจีน ... มาจีบ Asian ร่วมถึงไทยว่า จะเข้าฝั่งไหน I มีผลประโยชน์ให้ต่างๆนาๆ ก็ว่าไป ... ทั้งหมดเพื่อสกัดจีนให้ได้ เท่าที่ยังมีโอกาส

เวลาผ่านมาตั้งแต่ 2018 ที่เริ่มกีดกัน ... มองอีกที China เอาจริงแหะ ลดการถือ Dollar จริงๆ ไปซื้อแต่ทองเพิ่มเข้าทุนสำรอง ... จน US แบบต้องส่ง นักการเมือง ตัวแทนรัฐต่างๆไปคุยกับ China ช่วยซื้อ Bond หน่อย (ปล่อยกู้หน่อยได้ไหม ขึ้นดอกเบี้ยให้แล้วนะ) ...  แต่ก็ยังไม่เกิดผล ... US เลยใช้กองทัพเงินทุนฝั่งตนถอนเงิน เพื่อถล่มตลาดทุนจีน ให้พังทลายลงมา เกิดวิกฤตต่างๆมากมายในจีน ก็เป็นผลจากฝั่ง US ถอนทุนที่เคยเข้าไปลงทุนให้ทั้งนั้น (แม้ว่ารัฐบาลจะเป็นหนี้จีน แต่กองทุน US ยังคงมีเงินทุนในจีนอยู่จำนวนหนึ่ง จนถอนออกมาเกือบหมด) ... จุดนี้ถือว่า US ทำได้ดีผ่านทั้งกองทุนที่เป็นหน่วยรบทางการเงิน ... หน่วยข่าวสร้างกระแสอย่างกลุ่ม Social Media ทั้งหลาย รวมถึงบริษัทด้านเงินทุนหลักทรัพย์ที่สามารถออกบทความวิเคราะห์ต่างๆ เพื่อถล่มตลาดทุนได้ ... แต่ที่สำคัญ China มันไม่ตายนี่ล่ะสิ แถมเก็บทองคำเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ (ธนาคารกลางจีนซื้อทองมากที่สุดในโลกในปี 2023, China มี Reserve ทองคำมากที่สุดในโลกรองลงมาคือ Russia)

US ต้องเริ่มมาคิด ถ้าปล่อยแบบนี้ต่อไป ความเชื่อที่ว่า USD จะไร้ค่าไม่มีอะไรหนุนหลังก็จะเกิดขึ้น เพิ่มขึ้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และจะไปเก็บทองคำตามจีน ก็จะดูเป็นการเสียคำพูดที่ปลดทองคำออกไป 1971 ... แล้วจะทำอย่างไรดี ที่จะสร้างความเชื่อมั่นในเงิน USD ในฐานะ Fiat ผู้ยิ่งใหญ่ได้อีกครั้งในเมื่อ China/Russia จะพา BRICS สร้างสกุลเงินใหม่ของระบบเศรษฐกิจใหม่ และมี Backup ที่อาจจะเป็นทองคำ จะทำให้ระบบนี้เปลี่ยนจาก Fiat (เงิน back by Country's trust) กลับไปสู่ Paper money อีกครั้งเหมือนช่วง 1945-1971 ที่ USD มีทองคำ backup นั่นเอง

มองไปในสินทรัพย์ใดๆที่คล้ายทองมีอีกไหม ถ้าเลือก Silver บอกตรงๆศักดิ์ศรีต่ำกว่าทอง ... มีอะไรที่พอจะบอกได้ว่าดีกว่าทอง และมีคุณสมบัติพื้นฐานคล้ายๆกัน คือ มี Scarcity หายาก ผลิตได้ยาก และ มีคุณสมบัติที่ดีกว่าทองและมาแก้ปํญหาเรื่อง transfers value across space ได้ เพราะทองคำ มีข้อเสียเรื่องการเคลื่อนย้ายไปมา จนทำให้เกิด Paper money แล้วเอาทองคำเป็น backup เกิดขึ้นในอดีตนั่นเอง

อ่านมาถึงตรงนี้คงไม่ต้องเดาถึงสินทรัพย์ตัวนั้น ... ที่ถูกสร้างขึ้นจากใครก็ไม่รู้ ไร้ตัวตน ไร้ศูนย์กลาง หาได้ยาก มีคุณสมบัติเรื่อง transfers value across space ที่ดีกว่า ... ที่สำคัญจริงคือ China ไม่ชอบมัน ... แบนไปแล้ว ทำให้ความได้เปรียบถูกสะสมมาเรื่อยในฝั่ง โลกตะวันตก ... สิ่งนั่น คือ Bitcoin

มองไปมองมาคงจะเป็น Bitcoin แน่ๆที่จะพอมาทำให้ Dollar กลับมาเป็น Paper Money ได้อีกครั้ง ... เลยลีลานิดนึงและเริ่มอนุมัติ Bitcoin ETF ให้กองทุนขนาดใหญ่สามารถถือครองเก็บสะสม Bitcoin ได้แม้ว่าจะเป็นเงินจากสถาบันการเงินในตลาดทุนก็ตาม ... ต้องไม่ลืมสิ่งหนึ่งที่ POTUS เคยทำมาแล้วช่วง 1933 คือ ออก Executive Order สั่งให้ชาวเมกันทุกคนทำทองคำมาแลกเงินดอลล่าร์กลับไปในอัตราส่วน $20 ต่อ ออนซ์ ... ก็ไม่แน่ว่าเราอาจจะเห็นการทำสิ่งนี้อีกครั้งก็ได้

และการกำหนดอัตราส่วนตรงนี้แหละ จะเป็นตัวบ่งชี้ได้ในอีกเกมส์การล้างหนี้ของเมกาได้เลย ยกตัวอย่าง ถ้าเก็บ Bitcoin ไปแล้วถึง 1 ล้าน Bitcoin ซึ่งมีโอกาสทำได้ยากก็ตาม ... แล้วกำหนดอัตราส่วนที่ 1 ล้าน USD ต่อ Bitcoin จะทำให้ สหรัฐพิมพ์ Dollar เพิ่มขึ้น 1 ล้าน USD แต่ได้ Bitcoin 1 ล้าน Bitcoin มา back หนี้ทั้งหมดของเงิน Dollar นั่นเอง ... และการทำแบบนี้ก็เข้าเกมส์เดิมก็เมกา คือ สามารถกำหนดมูลค่าสินทรัพย์ได้ด้วยตนเอง เหมือนที่ทำมาตลอดกับประเทศเพื่อนๆ คือ กำหนดอัตราดอกเบี้ยที่จะจ่ายคืนได้เอง ผ่านนโยบายดอกเบี้ยของ FED ... ตรงนี้ Bitcoiner อาจจะได้ประโยชน์ไปเต็มๆเพราะมูลค่าในรูปของเงิน Fiat คือ $1M ต่อ Bitcoin แต่ถ้าเป็น Real Bitcoiner ก็จะไม่ขายมันออกมาถือเงิน Fiat อย่างแน่นอน เพราะ 1 Bitcoiin = 1 Bitcoin และสามารถ Preseve wealth ของพวกเขาได้ ... เพราะการ mark price ถ้าเกิดขึ้น มันคือการ Devalue USD และเป็นการ Devalue Debt ลงไปด้วยนั่นเอง

ฝั่งการเงินก็กาวเกิน ... มาดูฝั่ง Tech กันบ้าง ... US คือผู้นำโลกเข้าสู่ AI world อย่างแท้จริงๆ เพราะบริษัท Tech ที่สร้างสิ่งนี้ขึ้นมาก็มาอยู่ฝั่ง US แทบทั้งหมด (เว้นแต่จีนที่อาจจะยังไม่ได้ปล่อยของเท่าไหร่ในจุดนี้) ... แต่หาก US สามารถกิน market share ได้ก่อนเหมือนอย่างที่ Google, Apple, Microsoft, Meta, NVDIA, TESLA ทำมาได้แล้วล่ะก็ ... การกำหนด Standard ก็จะเกิดขึ้นเช่นเดิม ... ลองคิดภาพนะครับ จะมี AI ที่ไหนต้องการ Gold ในการทำ settlement ยกตัวอย่าง AI ของนาย A ต้องการสั่งของไปยังห้างร้านที่มี AI ของร้านดูแลอยู่ โดยการสั่งซื้อนั้นเป็นการสั่งซื้อตาม historical data ที่นาย A ซื้อมาโดยตลอด AI ก็ไปซื้อให้ได้เลย ... Settlement ระหว่าง AI ของทั้ง 2 ฝั่งซื้อและขาย ก็ควรจะอยู่ใน Digital Form of Payment ... ตรงนี้นี่เองที่ CBDC ฝั่งเมกาจะมาตอบโจทย์ แม้กระทั่งกำหนดไปเลยว่า Bitcoin เป็น mean of payment ได้สำหรับโลก AI ที่จะมี Transaction ระหว่างกันมากขึ้นเรื่อยๆในโลก Digital และอาจจะเป็นเขตเศรษฐกิจบนโลกเสมือน ที่เมกาถนัดมากกว่าจีนก็เป็นได้

เราจะเริ่มเห็นว่าการแข่งกันในส่วนของเศรษฐกิจ จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ คือ ฝั่งจีนจะยังคงเล่นท่าเดิมที่เมกาเคยเล่นมาแล้ว คือ สร้าง ecosystem ขึ้นมาใหม่ผ่าน BRI ออกสกุลเงินที่ back โดยสินทรัพย์มีค่าอย่างทองคำผ่าน BRICS และรวมประเทศพันธมิตรเข้ามาเพื่อโดดเดี่ยวเมกา

ส่วนเมกา "อาจจะ" เดิน ecosystem ใหม่ไปเลย เน้นไปทาง Digital world มี CBDC เป็นสื่อกลาง มี Bitcoin เป็น backup และมี transaction generator เป็น AI ที่ทำงานระหว่างกันสร้าง GDP บนโลกเสมือนออกมาได้อย่างมหาศาล (ทำสำเร็จมาแล้วในโลก web 2.0 ที่มีกลุ่ม tech ยักษ์ใหญ่ในปัจจุบันเป็นผู้นำ)

ส่วนในเรื่องของทางทหาร สงครามใหญ่ อาวุธยุทโธปกรณ์ ตรงนี้ยังไม่ขอพูดถึง เพราะไม่ได้เจาะรายละเอียดมากนัก เลยกาวยังไม่ได้มากเท่าที่ควรน่ะครับ 555+ (ไว้โอกาสหน้าถ้าพร้อมจะมากาวต่อ)